กรมประมง เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำในฤดูฝน อาจส่งผลกระทบต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเนื่องจากประเทศไทยได้เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงฤดูฝน โดยทำให้มีฝนตกชุกหนาแน่นและต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่งผลให้คุณภาพของน้ำมีการเปลี่ยนแปลง เสี่ยงกระทบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แนะเกษตรกรควรเฝ้าระวัง หมั่นดูแลสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมประมงอย่างเคร่งครัด
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ด้วยขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน โดยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่น มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ส่งผลให้คุณภาพน้ำมีการเปลี่ยนแปลง เช่น อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ความเค็ม และความขุ่น ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน เกิดความเครียด อ่อนแอ เสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ง่าย และอาจตายได้อย่างฉับพลัน กรมประมงจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เฝ้าระวัง และหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
1. วางแผนการเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และฤดูกาล เพื่อให้สามารถจับจำหน่ายได้ก่อนช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนถึงฤดูหนาวหรือฤดูน้ำหลาก และเตรียมกั้นตาข่ายกันสัตว์น้ำหนี
2. ควรเลือกลูกพันธุ์สัตว์น้ำจากฟาร์มผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ สัตว์น้ำแข็งแรง ไม่มีบาดแผลหรือแสดงอาการของโรคสัตว์น้ำ
3. ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในอัตราความหนาแน่นที่เหมาะสมหรือน้อยกว่าปกติ เพื่อลดความสูญเสียจากคุณภาพน้ำที่ไม่เหมาะสม และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. เลือกใช้อาหารที่มีคุณภาพดี และให้ในปริมาณที่เหมาะสม เสริมสารอาหารหรือวิตามินที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของสัตว์น้ำ เช่น โปรไบโอติก วิตามินซี วิตามินรวม เป็นต้น
5. วางแผนจัดการคุณภาพน้ำที่ดี ให้เหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น หากสภาพอาการปิดและมีฝนตก ปริมาณออกซิเจนในน้ำจะลดลงอย่างฉับพลัน เกษตรกรสามารถป้องกันการตายของสัตว์น้ำโดยการเปิดเครื่องตีน้ำหรือสูบน้ำในบ่อให้สัมผัสอากาศ จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำได้ เป็นต้น
6. ควรตรวจสอบเรื่องปริมาณอาหารที่เหลือ เนื่องจากในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงสัตว์น้ำกินอาหารลดลง อาหารที่เหลือสะสมก้นบ่อจะทำให้สารอินทรีย์เพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อก่อโรค ควรทำความสะอาดพื้นบ่อ หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ
7. ควรหมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ กรณีที่สัตว์น้ำเกิดการป่วยหรือตายควรกำจัดโดยการฝังกลบหรือเผา ไม่ควรทิ้งสัตว์น้ำที่ป่วยหรือตายไว้ในบริเวณบ่อเลี้ยงหรือกระชัง หรือเอาให้สัตว์น้ำอื่นกินเพราะจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคทำให้เกิดการระบาดของโรคสัตว์น้ำได้
8. กรณีที่พบสัตว์น้ำมีอาการผิดปกติ ให้รีบหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้สัตว์น้ำป่วยและตาย และให้รีบแก้ไขตามสาเหตุ หากไม่ทราบหรือไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ด้วยตนเอง ให้รีบปรึกษาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ด้านโรคและการจัดการด้านสุขภาพสัตว์น้ำ
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูฝน เกษตรกรควรเตรียมความพร้อมในเรื่องของการจัดการต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น โรคที่ควรเฝ้าระวังในปลาจะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคตัวด่างที่มีสาเหตุจากเชื้อฟลาโวแบคทีเรียม (Flavobacterium columnare) มักพบหลังจากการย้ายบ่อ หรือการขนส่ง ปลาที่ป่วยจะมีแผลด่างขาวตามลำตัว ดังนั้นหลังการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งปลาให้ใช้เกลือแกง 1 กิโลกรัมต่อปริมาตรน้ำ 1 ตัน เพื่อช่วยลดความเครียด สำหรับโรคในกุ้งควรเฝ้าระวังปรสิตที่มีสาเหตุจาก ซูโอแทมเนียม (Zoothamnium sp.) หากพบปริมาณมากอาจส่งผลต่อการลอกคราบ ทำให้กุ้งลอกคราบไม่ออก การรักษาสามารถทำได้โดยวิธีการแช่ด้วยฟอร์มาลิน 25-50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ตัน ระยะเวลาการแช่ 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตลักษณะอาการภายนอกและพฤติกรรมของสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง หายใจถี่ การรวมกลุ่มตามขอบบ่อ การกินอาหารน้อยลง เพื่อให้สามารถหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่พบได้อย่างรวดเร็วและยังเป็นการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตายของสัตว์น้ำได้
อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกร พบปัญหาด้านโรคสัตว์น้ำ สามารถขอรับคำปรึกษาและคำแนะนำได้ที่ สำนักงานประมงอำเภอ/จังหวัด หรือหน่วยงานอื่น ๆ ของกรมประมงทุกแห่งทั่วประเทศ และหากต้องการส่งสัตว์น้ำป่วยเพื่อตรวจวินิจฉัยโรค หรือขอคำแนะนำด้านโรคสัตว์น้ำ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง โทร. 0 2561 3372 หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำสงขลา โทร. 0 7433 5244 5