ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC)รายงานว่า ปัจจุบันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำเต็มความจุจำเป็นต้องระบายน้ำเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของเขื่อน ในอัตราประมาณ 901 ลบ.ม./วินาทีซึ่งปริมาณน้ำนี้จะไหลลงไปรวมกับน้ำที่มาจากคลองชัยนาท – ป่าสัก ก่อนจะไหลผ่านเขื่อนพระรามหก
โดยได้ใช้ระบบชลประทานฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา รับน้ำส่วนหนึ่งผ่านประตูระบายน้ำพระนารายณ์ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ลงสู่คลองระพีพัฒน์ ตามศักยภาพของคลองที่รับได้ ก่อนจะลำเลียงน้ำลงสู่คลอง 13 และคลองในแนวเหนือ-ใต้ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และอ่าวไทยตามลำดับ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก รวมถึงช่วยบรรเทาและลดผลกระทบในพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์โดยปริมาณน้ำดังกล่าวไม่ได้ผ่านเข้าสู่พื้นที่เทศบาลนครรังสิต จังหวัดปทุมธานี แต่อย่างใด
ส่วนปริมาณน้ำที่เหลือจะควบคุมให้ไหลผ่านท้ายเขื่อนพระรามหกในอัตรา 1,043 ลบ.ม./วินาที และไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยปัจจุบัน ที่สถานีวัดน้ำ C.29A อ.บางไทรจ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ย 2,982 ลบ.ม./วินาที