เวลา 11.00 น. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผวจ.ฉะเชิงเทรา พล.ต.ต.เกรียงไกร บุญซ้อน ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา พร้อมหารพราน กรมทหารพรานที่ 13 /ตำรวจ ปทส. /ฝ่ายปกครอง /อบต.คลองตะเกรา เข้าตรวจสอบสวนทุเรียนทุนจีน ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ หลัง จนท.ตรวจยึดไว้ราว 688 ไร่ และดำเนินคดีไปแล้ว 300 ไร่
ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ระบุว่า ต้องการลงพื้นที่มาตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วยตัวเองเพราะยังไม่เคยมาในพื้นที่ที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อเห็นแล้วก็ต้องตกใจว่า สภาพพื้นที่นั้นเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันได้สอบถามชาวบ้านซึ่งอยู่ระหว่างให้ปากคำกับตำรวจ ปทส. โดยย้ำว่า หากใครได้รับที่ดินตามโครงการ คทช. จะต้องใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์และต้องไม่มีการขายเปลี่ยนมือ
สำหรับพื้นที่สวนทุเรียนทุนจีน ต.คลองตะเกรา ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีแล้วนั้น ‘ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา’ บอกว่า ทุกหน่วยงานกำลังเร่งสอบสวนและรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เพื่อดำเนินการเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ส่วนพื้นที่ดินอีกราว 300 ไร่ ที่ยังไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีขณะนี้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษให้ครบทั้ง 688 ไร่ และหากเกี่ยวข้องกับใครก็ต้องดำเนินคดีทั้งหมด
ส่วนเรื่องการนำชื่อบุคคลอื่นมาขอใช้สิทธิ์ ที่ คทช.ในเขต ต.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ทราบว่า ตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา กำลังประสานข้อมูลกับทางตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อยืนยันข้อมูลที่มีการสอบปากคำไปแล้ว และในวันที่ 21 มีนาคม 2568 จะมีการประชุม คทช.จังหวัดฉะเชิงเทรา คงต้อง นำเรื่องที่ดินในพื้นที่อำเภอท่าตะเกียบ และที่ดินที่กำลังจะจัดสรรให้ประชาชนเข้ามาพิจารณาร่วมกับทุกหน่วยงานด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายเหมือนอย่างที่อำเภอท่าตะเกียบ
” กรณี ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรองเอกสารหรือยืนยันแนวเขตอันนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดว่าดำเนินการรับรองอย่างไร หากจริงต้องตรวจสอบให้ชัดว่าเหตุใดทำไมถึงเกิดขึ้นได้ และในระเบียบ ระบุชัดไว้แล้วว่าห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือ ‘ ผวจ.ฉะเชิงเทรา กล่าว
พล.ต.ต.เกรียงไกร บุญซ้อน ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่าเร่งให้พนักงานสอบสวน สภ. ท่าตะเกียบ สอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อส่งดำเนินคดีโดยเร็ว รวมถึงให้ขยายผลเรื่องของการติดตั้งเสาไฟเข้าไปในพื้นที่ใครเกี่ยวข้อง และระบบน้ำมีการดำเนินการขออนุญาตหรือไม่ ทั้งหมดต้องอยู่ในสำนวนด้วย
ด้าน ด.ต.ไพศาล เสริฐสอน ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปทส. เข้าสอบปากคำชาวบ้านซึ่งมีสิทธิ์ครอบครองที่ในบริเวณดังกล่าวจำนวน 5 คน แต่ละคนมีที่ทำกิน 19 ไร่ ถึง 25 ไร่ จากการสอบปากคำพบว่า ทั้ง 5 คน ที่ดินของตัวเองถูกออกแนวเขตทับเข้ามาจนกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับบริษัทดังกล่าว และวันนี้ชาวบ้านได้นำชี้พื้นที่ทำกิน ให้กับตำรวจ ปทส. เป็นหลักฐานด้วย
