นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์แนะ วิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารโลก หุ้นกลุ่มอาหารและเกษตรไทยได้อานิสงส์ ถือเป็นโอกาสส่งออกไทย คาดราคาหุ้นอาหารพุ่ง มาตรการรับความท้าทายวิกฤติราคาอาหารไทยไม่ควรระงับส่งออก เดินหน้าเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ขยายบทบาทไทยในองค์การอาหารโลก เสนอเดินหน้าเก็บภาษีกำไรคริปโตและภาษีกำไรหุ้น
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ผลพวงจากการสู้รบในยูเครนทำให้เกิดวิกฤตการณ์อาหารโลก เนื่องจากส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นการขาดแคลนปุ๋ยและวัตถุดิบอาหาร การเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซื้อขายล่วงหน้า การชะงักงันของการขนส่งและห่วงโซ่อุปทาน การกีดกันการค้าสินค้าเกษตรด้วยระบบโควต้าและระงับการส่งออกเนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลี 25-30% ของมูลค่าการค้าข้าวสาลีทั่วโลก
ล่าสุดอินเดียระงับการส่งออกข้าวสาลีและธัญพืชเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ และป้องกันไม่ให้ราคาภายในปรับตัวสูงเกินไป กดดันราคาข้าวสาลีทั่วโลกเพิ่มขึ้น 60-70% จากตันละ 800 ดอลลาร์ขึ้นเป็นเกือน 1,300 ดอลลาร์ และราคาข้าวโพดปรับขึ้นสูงกว่า 760-780 ดอลลาร์
ดัชนีราคาขององค์การอาหารโลก (FAO Food Price Index) โดยภาพรวมช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 158-159 เนื้อสัตว์อยู่ที่ 145-147 น้ำตาลอยู่ที่ 117-121 น้ำมันพืชอยู่ที่ 237-251 ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์
สำหรับการยกเลิกมาตรการควบคุมการนำเข้าและยกเลิกมาตรการภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ของรัฐบาลไทยจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่งในระยะสั้นเท่านั้น ขณะนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติจากกลไกระบบราชการอยู่ที่มีขั้นตอนล่าช้า ไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ คาดว่า วิกฤตอาหารโลกจะรุนแรงกว่ายาวนานกว่าวิกฤตพลังงาน และมีความเชื่อมโยงกันส่งผลกระทบต่อประชากรโลกระดับหลายพันล้านคนแม้สงครามจะยุติลงได้ในปลายปีนี้
จากนี้ยังมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องระยะยาว ภัยแล้ง และอุทกภัยครั้งใหญ่จะทำลายพื้นที่ทางการเกษตรเป็นระยะๆ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านอาหารจึงมีความสำคัญมากต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศนำเข้าอาหารและสินค้าเกษตร แม้ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกอาหารแต่ก็ไม่ควรประมาท ควรมียุทธศาสตร์ความมั่นคงทางอาหารไว้ด้วย นอกเหนือจากการมุ่งสู่การเป็นครัวของโลก
การระงับการส่งออกอาหารเกิดขึ้นสำหรับในประเทศที่ผลิตอาหารไม่เพียงพอภายในประเทศ และต้องพึ่งพาการนำเข้า การระงับส่งออกอาหารและกักตุนอาหารจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีประเทศต่างๆดำเนินการในลักษณะดังกล่าวมากขึ้น การเปิดเสรีทางการค้าเกี่ยวกับสินค้าอาหารจะชะงักงันไประยะหนึ่ง การกำหนดโค้วต้าการส่งออกจนถึงการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าเกี่ยวเนื่องกันจะขยายวงเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป การสต๊อกอาหารและกักตุนอาหารก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และสถานการณณ์น่าจะยืดเยื้อไปถึงกลางปี 2567 (กรณีเลวร้าย) กรณีพื้นฐานปลายปีนี้ก็น่าดีขึ้นหากสงครามในยูเครนยุติลง
“วิกฤตความมั่นคงทางอาหารครั้งนี้ต่างจากวิกฤติราคาอาหารโลกเมื่อปี 2550-2551 ซึ่งเป็นผลจากภัยแล้งรุนแรง และการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานเป็นหลัก รวมทั้งการใช้พลังงานชีวภาพที่เพิ่มขึ้น โครงสร้างการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรที่กระจุกตัวในประเทศหลักๆ ไม่กี่ประเทศ สำหรับคราวนี้สงครามยูเครนเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเป็นแหล่งผลิตธัญพืชส่งออกหลายตัว” นายอนุสรณ์ ระบุ
ส่วนการเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์มีผลต่อการพุ่งขึ้นของราคาอาหารน้อยมากเมื่อเทียบกับวิกฤตราคาอาหารเมื่อปี พ.ศ. 2550 ราคาอาหารของโลกโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 30-40% แล้วนับตั้งแต่สงครามในยูเครน กระทบผลผลิตเบื้องต้นไปแล้วไม่ต่ำกว่า 10-20% ปัญหาวิกฤตอาหารอาจใหญ่กว่าวิกฤตพลังงานและอาจใช้เวลาแก้ไขนานกว่า เป็นภัยคุมคามต่อประเทศยากจนทั่วโลกและประเทศพัฒนาแล้ว และอาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางสังคม รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ จากการประเมินโดยองค์การอาหารโลก FAO และธนาคารโลก พบว่า คนจนในประเทศยากจน 10 ล้านคนจะถูกผลักให้อยู่ในฐานะยากจนรุนแรงทันทีจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น 1% เพราะรายจ่ายในการซื้ออาหารคิดเป็นมากกว่า50-60% ของรายได้ของคนเหล่านี้ และในช่วง 2 ปีจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนกลุ่มนี้ก็มีรายได้ลดลงหรือว่างงานมากว่า 2 ปีแล้ว
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า วิกฤตอาหารโลกที่กำลังเกิดขึ้นจะเป็นโอกาสที่ดีของภาคส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรของไทย กรณีที่ไทยไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดโควตาหรือระงับการส่งออกก็ควรเร่งส่งออก หากผลิตเหลือใช้เหลือบริโภคจำนวนมาก และควรจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ.2566 เพิ่มเติมให้กับภาคเกษตรกรรมและภาคการผลิตอาหารในการลงทุนวิจัยลงทุนพัฒนาพันธุ์เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งเดินหน้าสู่การเป็นครัวของโลก เป็นศูนย์ลางภาคเกษตรกรรมคุณภาพสูงของโลก ถือเป็นการทำภารกิจเพื่อมนุษยชาติโดยรวม ไม่ได้อยู่ที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแห่งชาติเท่านั้น
นอกจากนี้ไทยควรมีบทบาทเพิ่มขึ้นในองค์การอาหารโลก (Food and Agricultural Organization of the United Nations) เพื่อขจัดความหิวโหยและการเข้าถึงอาหารอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ ความต้องการสินค้าอาหารหลายชนิดจากไทยจะเพิ่มขึ้นทดแทนการส่งออกที่หายไปจากประเทศที่ระงับการส่งออก และจะขายได้ราคาดีขึ้น อย่างไรก็ตามมีธัญพืชบางตัววัตถุดิบผลิตอาหารบางอย่างที่เราต้องนำเข้าก็จะได้รับผลกระทบ ของอาจแพงขึ้นมาก และอาจขาดแคลนได้ ซึ่งเป็นปัญหาของโลกโดยรวม
ล่าสุด ธนาคารโลกได้ประกาศแผนรับมือวิกฤตความมั่งคงที่เป็นอาหารโลก โดยอัดฉีดเม็ดเงินงบประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้ร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพิ่มปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตร การผลิตปุ๋ย การชลประทาน เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบอาหาร สนับสนุนด้านการค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตลอดจนช่วยเหลือครัวเรือนและผู้ผลิตที่เปราะบาง
โดยภาพรวมไทยได้ประโยชน์จากรายได้ส่งออกอาหารเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในช่วงนี้ ขณะเดียวกันราคาอาหารและค่าครองชีพในประเทศจะแพงขึ้นไปจนถึงปลายปีนี้ คาดว่ารายได้จากภาคส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด รัฐก็ควรไปหามาตรการหรือกลไกที่ทำให้รายได้เหล่านี้กระจายไปสู่ผู้ผลิตและเกษตรกรอย่างเป็นธรรม ส่วนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากอาหารแพง คือ คนจน ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย เพราะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารจะคิดเป็นสัดส่วน 50-70% ของรายได้ของคนกลุ่มนี้ คนที่กระทบหนักสุด คือ คนจนเมือง รัฐอาจต้องจัดมาตรการสวัสดิการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ เฉพาะกลุ่มที่เดือดร้อนมาก เช่น คูปองอาหาร เงินช่วยเหลือค่าครองชีพเพิ่มเติม เป็นต้น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ราว 1 ใน 4 ของแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในการผลิตอาหารในยุโรปมาจากรัสเซีย การแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มเติมเพื่อผลิตปุ๋ยให้เพียงพอกับความต้องการในระยะเวลาที่สั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้นทุนในการเพาะปลูกของเกษตรกรจะพุ่งสูงขึ้น และผลผลิตจะมีปริมาณต่ำลงมากและดันให้ราคาอาหารทะยานสูงขึ้นทั่วโลก จำนวนมนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกรวมทั้งปศุสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงเพื่อนำมาบริโภคได้อาหารจากการใช้ปุ๋ย หากการขาดแคลนปุ๋ยเกิดขึ้นในเวลายาวนานจะทำให้ผลผลิตลดลงถึง 50% เวลานี้
รัฐบาลรัสเซียได้เรียกร้องให้บรรดาผู้ผลิตระงับการส่งออกปุ๋ย เราจะเห็นคนอดตายจากการขาดอาหารเพิ่มขึ้น รัสเซียเป็นผู้ผลิตสารอาหารสำหรับพืชรายใหญ่ เช่น แร่โปแตช (potash) และฟอสเฟต(phosphate) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในปุ๋ยที่ช่วยให้พืชผลมีผลผลิตตามเป้าหมาย บรรษัทข้ามชาติสัญชาตินอร์เวย์ผลิตปุ๋ยไนโตรเจนอย่าง ยารา อินเตอร์เนชันแนล (Yara International) ซึ่งดำเนินธุรกิจปุ๋ยในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ซื้อวัตถุดิบดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ยจากรัสเซียและมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในยูเครนที่เป็นพื้นที่สงคราม ก่อนหน้านี้ราคาปุ๋ยได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่แล้วจากราคาก๊าซในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นได้กล่าวเตือนว่าจะเกิดภาวะการขาดแคลนปุ๋ยและราคาปุ๋ยจะพุ่งสูงขึ้น
สำหรับไทยซึ่งต้องนำเข้าปุ๋ยจำนวนมากจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือปัญหาการขาดแคลนปุ๋ย การเตรียมการเพื่อจัดซื้อล่วงหน้าเพื่อสต็อกของเอาไว้มีความจำเป็นเร่งด่วน และคาดว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนปุ๋ยอย่างแน่นอน ในระยะยาวแล้วไทยควรต้องมีการลงทุนโครงการทางด้านผลิตปุ๋ยใช้เองเพื่อให้เกิดความมั่นคงและพึ่งพาตัวเองได้ รวมทั้งอาจมีความจำเป็นในการรื้อฟื้นโครงการปุ๋ยของอาเซียน
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังควรเดินหน้าเก็บภาษีการเก็งกำไรในตลาดคริปโตและการลงทุนในตลาดการเงิน โดยเก็บเฉพาะส่วนต่างหากมีกำไร ไม่ควรเก็บจากฐานธุรกรรม การเก็บภาษีดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งรายได้เพิ่มขึ้นของรัฐ ลดการขาดดุลงบประมาณ การปรับโครงสร้างภาษีให้เก็บจากฐานทรัพย์สินมากขึ้น ลดการเก็งกำไรเกินขนาดอันจะนำมาสู่ฟองสบู่ในระบบเศรษฐกิจ การเลื่อนเก็บจะทำให้รัฐต้องทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มอีก เพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีฐานรายได้การส่งออกในสัดส่วนสูงได้ประโยชน์เต็มที่ คาดราคาหุ้นอาจปรับตัวเพิ่มได้อีก
4 บริษัทใหญ่ทางด้านอาหารและเกษตร บริษัทที่เน้นผลิตเพื่อส่งออก คือ บมจ.ไทยยูเนียนกรุ๊ป (TU) คิดเป็นส่งออก 90% ของผลผลิต ส่วน บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) มีธุรกิจในต่างประเทศกว่า 60% สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายได้ ส่วน บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) มีการส่งออก 22% บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป(TFG) มีสัดส่วนการส่งออก 39% ของผลผลิต
อย่างไรก็ตามแม้ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น แต่บริษัทเหล่านี้เผชิญต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งอาหารสัตว์ (ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองสูงขึ้น) ทั้งต้นทุนขนส่ง อย่างกรณีการระงับส่งออกไก่ของมาเลเซีย จะทำให้บริษัทอย่าง CPF, GFPT, TFG ส่งออกไก่ได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์และอินโดนีเซีย
โดยปีที่ผ่านมา ไทยผลิตไก่ได้ 3.3 ล้านต้น บริโภคภายในเพียง 2.3 ล้านตัน เหลือส่งออก 1 ล้านตัน หากไทยสามารถเพิ่มการผลิตในปีนี้เป็น 3.5-3.6 ล้านตัน ทำให้ยอดส่งออกเพิ่มเป็น 1.2-1.3 ล้านตัน ส่งออกเพิ่มขึ้นได้อีก 20-30% และมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคาภายในไม่มากนัก ไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดโควต้าส่งออกหากสามารถเพิ่มผลผลิตได้