วันที่ 9 ธันวาคม 2565 เวลา 14.00 น. นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว นำทีมผู้บริการกรมการข้าวและคณะกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ ร่วมแถลงข่าวการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์ข้าว ปี 2566 ณ ห้องประชุมจักรพันธุ์ กรมการข้าว
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยหลังการแถลงข่าวว่า ข้าวเป็นพืชที่มีความสำคัญกับสังคมไทยทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การทำนาเป็นอาชีพเกษตรกรรมส่วนใหญ่ของประชากรในประเทศ ประมาณ 4.6 ล้านครัวเรือน สามารถผลิตข้าวได้ปีละกว่า 30 ล้านตันข้าวเปลือก
ดังนั้น อาชีพชาวนาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ และถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าข้าวคุณภาพดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ผลผลิตเฉลี่ยข้าว ยังมีผลผลิตต่อไร่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ผลผลิตเฉลี่ยเพียง 353 กิโลกรัมต่อไร่ สาเหตุหนึ่งมาจากการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เกษตรกรเก็บไว้เองหลายรอบซึ่งมีคุณภาพต่ำ
การที่จะปลูกข้าวให้ได้ผลดีมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งคุณภาพของดิน ปริมาณน้ำ และเทคโนโลยี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เมล็ดพันธุ์ดีที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยสูง ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชและได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีตรงตามความต้องการของตลาด
กรมการข้าวจึงได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ที่ผลิตและจำหน่ายโดยศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อยกระดับปริมาณและคุณภาพผลผลิตข้าว ให้ตรงกับความตามความต้องการของตลาด เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวเปลือกได้ในราคาที่สูงขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวปี 2566 ที่กรมการข้าวได้มุ่งเน้นส่งเสริมให้ชาวนาสามารถเข้าถึง และได้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีจากกรมการข้าวทั่วประเทศ
โดยเกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้ผ่านกลุ่มเกษตร และสถาบันเกษตรกร เช่น ศูนย์ข้าวชมชนในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด ในราคาตามหลักเกณฑ์ของกรมการข้าวที่ได้กำหนดไว้ เพื่อให้ชาวนาได้มีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีสำหรับการเพาะปลูก และขยายพันธุ์ ซึ่งในปีนี้กรมการข้าวมีเป้าหมายการดำเนินการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี จำานวน 58,700 ตัน อีกทั้งยังเป็นการยกระดับปริมาณและคุณภาพผลผลิตข้าว ให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ และในส่วนของเกษตรกรที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการในปีนี้ กรมการข้าวมีแผนการดำเนินงานโครงการนี้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้เกษตรกรจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้.