ประเทศกัมพูชาและมณฑลเจียงซูของจีน จับมือเปิดตัวแพลตฟอร์ม “อีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม” (Silk Road E-commerce) เพื่อเดินหน้าส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุในจดหมายแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสดังกล่าวว่า กัมพูชาและจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 เพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจ ภายใต้โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
โดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหมที่เพิ่งเปิดตัวนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางของกัมพูชา ในการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูงไปยังตลาดจีน
นัมฮง กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชา มองเห็นว่าอีคอมเมิร์ซนั้น เป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในส่งเสริมการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งกัมพูชาและจีนจะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนต่อไป และจะร่วมมือกันในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น เพื่อก้าวผ่านอุปสรรคที่มาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นัมฮง ยังย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงการค้าเสรีกัมพูชา-จีน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งต่างมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565 โดยกล่าวว่า ข้อตกลงทั้งสองเป็นกรอบการค้าและการลงทุนสำหรับกัมพูชาและจีน
ทั้งนี้ เฟ่ยเกาอวิ๋น รองผู้ว่าการมณฑลเจียงซู และหวังเหวินเทียน เอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา ได้ร่วมงานดังกล่าวผ่านทางวิดีโอ
แพลตฟอร์ม “อีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม” ดำเนินการบนระบบเจดีดอตคอม (JD.com) และมีบริษัทเพื่อการลงทุนเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เจียงซู ไท่หู (กัมพูชา) จำกัด (Jiangsu Taihu (Cambodia) International Economic Cooperation Zone Investment Co., Ltd.,) เป็นผู้บริหารจัดการแพลตฟอร์ม
โดยบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทผู้ดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ (SSEZ) ซึ่งมีดีกรีเป็นสวนอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา
สถิติล่าสุดระบุว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เมื่อเทียบปีต่อปี แตะระดับ 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรายงานจากกรมศุลกากรและสรรพสามิตของกัมพูชาระบุว่าจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ จาก : สำนักข่าวซินหัว (XinhuaThai)