ศบค.ชุดใหญ่ เคาะ”พื้นที่สีเขียว”ทั้งประเทศ มีผลนับตั้งแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถอดหน้ากากอนามัยได้ในที่ไม่แออัด–สถานที่เปิด ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง ผับ–บาร์ ยกเลิกThailand pass คนต่างชาติ
วันที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน มีมติเห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักรมีผลนับตั้งแต่ประกาศราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ดังนี้
พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 0 จังหวัด – พื้นที่ควบคุมสูงสุด 0 จังหวัด
พื้นที่ควบคุม 0 จังหวัด – พื้นที่เฝ้าระวังสูง 0 จังหวัด
พื้นที่เฝ้าระวัง 77 จังหวัด – ยกเลิกพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังเห็นชอบผ่อนคลายมาตรการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ โดยเริ่มดำเนินการได้ทันทีหรือหลังประกาศราชกิจจานุเบกษา ดังนี้
พื้นที่สถานการณ์ ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์เป็นระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ทั้งประเทศ ยกเลิกการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
มาตรการการใส่หน้ากากอนามัย ควรสวมหน้ากากและให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แออัด สถานที่ปิดหรือมีการอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก
เงื่อนไขการ “สวมแมสก์”
- สถานที่ภายนอกอาคาร ให้สวมหน้ากาก เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น โดยไม่สามารถเว้นระยะห่าง มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก หรือมีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะตลาด สนามกีฬาหรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม ฯลฯ
- สถานที่ภายในอาคาร ให้สวมหน้ากาก
สำหรับเงื่อนไขการ “ถอดแมสก์”
- อยู่คนเดียว
- หากอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่พำนักเดียวกัน ต้องสามารถเว้นระยะห่างได้
- ไม่รวมกลุ่มและในพื้นที่แออัดและอยู่ในที่ระบายอากาศได้ดี
- มีกิจกรรมที่จำเป็นต้อง “ถอดแมสก์” เช่น รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดง ฯลฯ โดยให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เมื่อกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้น ควรสวมหน้ากากทันที
การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหารในพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง ให้เปิดบริการได้ตามปกติโดยต้องปฏิบัติมาตรการป้องกันโรค รวมทั้งกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
สถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ฯลฯ เปิดให้บริการและให้ผู้รับบริการดื่มแอลกอฮอล์ได้ในพื้นที่เฝ้าระวัง โดยเปิดให้บริการตามกฎหมายเดิมกำหนด
การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ผ่อนคลายให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ
การคัดกรองอุณหภูมิ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดกรองอุณหภูมิในอาคารสถานที่ (อาจให้มีการคัดกรองอุณหภูมิในสถานที่เสี่ยงหรือพื้นที่ระบาด)
การเว้นระยะห่าง แนะนำให้มีการเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่โรค
มาตรการการรวมกลุ่ม ตรวจคัดกรอง ATK กรณีเป็นผู้ป่วยสงสัยที่มีอาการทางเดินหายใจ หากมีการรวมกลุ่มมากกว่า 2,000 คน ขอให้แจ้งทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. ทราบเพื่อเฝ้าระวังการระบาด
นอกจากนี้ ที่ประชุมศบค.ยังเห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยให้บางมาตรการบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา และบางมาตรการมีผลทันที ดังนี้
- การยกเว้นการลงทะเบียน TP หรือ CoE ของคนต่างชาติ โดยขอให้สำแดงเอกสารวัคซีนหรือผลการตรวจหาเชื้อแบบต่าง ๆ โดยให้มีการสุ่มตรวจเอกสาร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ
- ยกเลิกมาตรการคัดกรองอุณหภูมิและอาการทางเดินหายใจ ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ
- ยกเลิกการกำหนดเงินประกัน (ส่งเสริมการซื้อประกัน)
- ให้ปรับระบบ Thailand Pass สำหรับใช้คัดกรองและลงทะเบียนในรูปแบบ Health Declaration Form เพื่อควบคุมโรคติดต่อ เช่น ไข้เหลือง
ข้อเสนอมาตรการการเข้าราชอาณาจักร เริ่ม 1 ก.ค.
- ยกเว้นการลงทะเบียนระบบ Thailand Pass ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
- ผู้เดินทางแสดงเอกสารการฉีดวัคซีน หรือผลตรวจเชื้อ
- ให้ดำเนินการสุ่มตรวจผู้เดินทาง (หากสุ่มแล้วผู้เดินทางไม่มีเอกสารรับรองใด ๆ จะดำเนินการตรวจpro-ATK ที่สนามบิน) จนกว่าจะยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน
- คงระบบ และเปลี่ยนหน้าที่ Thailand Pass สำหรับโรคโควิด-19 เพื่อให้ผู้เดินทางใช้แจ้งรายงานกรณีมีอาการต้องสงสัยโรคติดต่ออันตราย และโรคติดต่อที่ต้องรายงานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข