อธิบดีกรมวิชาการเกษตรและคณะลงพื้นที่ตรวจการดำเนินงานของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ -ติดตามความก้าวหน้าโครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง

%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5 2
นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร

นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย ดร.พงศ์ไท ไทโยธิน  รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และคณะผู้บริหารกรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ และในโอกาสนี้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ติดตามความก้าวหน้าโครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง จัดทำข้อมูล baseline การปล่อยก๊าซเรือนกระจกย้อนหลัง 3 ปี ในแปลงดำเนินงานตามกรอบ T-VER ของ อบก. เพื่อเข้าสู่กระบวนการขอรับรองคาร์บอนเครดิตต่อไป

386503
ติดตามความก้าวหน้าโครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง

การดำเนินงานคาร์บอนเครดิต กรมวิชาการเกษตร ได้จัดทำ MOU ร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และ ได้เปิดตัวโครงการคาร์บอนเครดิต ในงาน DOA Green Together ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ซึ่ง กรมวิชาการเกษตรมีแนวทางลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร 2 แนวทาง ประกอบด้วย

386507
ติดตามความก้าวหน้าโครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง

1. การจัดทำต้นแบบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตพืช  โดยมีแนวทางการดำเนินงานในพืชเป้าหมายที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา และไม้ผล (ทุเรียน และมะม่วง) ซึ่งจะดำเนินการพัฒนาเป็นโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ

386433
โครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง

2. การพัฒนากรมวิชาการเกษตรเพื่อเป็นหน่วยงานตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตภาคเกษตร  โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้กรมวิชาการเกษตรสามารถเป็นหน่วยงานในการตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ และการเกษตร ภายใต้หน่วยงานใหม่ คือกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร

386510
โครงการคาร์บอนเครดิตแปลงมะม่วง

ในการนี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เข้าติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการคาร์บอนเครดิตในแปลงมะม่วง ซึ่งได้มีการดำเนินการจัดทำข้อมูล baseline การปล่อยก๊าซเรือนกระจกย้อนหลัง 3 ปี โดยมีค่าการปลดปล่อยเฉลี่ยประมาณ 0.30 tCO2eq/ไร่/ปี ซึ่งหลังจากนี้จะมีการดำเนินการตามกรอบ T-VER ของ อบก. เพื่อเข้าสู่กระบวนการขอรับรองคาร์บอนเครดิตต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้มีการสรุปความก้าวหน้า Baseline ของพืชที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวข้างต้น บางพืชได้มีการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานเอกชนหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกัน พัฒนา National baseline ในพื้นที่แปลงเกษตรกรจากแหล่งผลิตสำคัญในการดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตภาคเกษตร ถือเป็นครั้งแรกในจัดทำมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ที่นอกจากจะก่อให้เกิดรายได้จากการขายคาร์บอนแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางเกษตรของไทย จากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม เพื่อรองรับข้อกีดกันทางการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และ กรมวิชาการเกษตร ได้จัดทำคู่มือประชาชน เพื่อให้ผู้สนใจได้รับรู้แนวทาง หรือหลักการในการสร้างรายได้จากการผลิตพืชด้วย

ทั้งนี้ ในวันที่ 19-20 สิงหาคม 2566 นี้กรมฯ มีการจัดงานนิทรรศการ “5 ทศวรรษแห่งการพัฒนาวิชาการเกษตรไทย และ การก้าวไปในทศวรรษที่ 6” ณ ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสรุปผลงานเด่นที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของ พันธุ์พืช เทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรมใหม่ ๆ ยังมีการนำเสนอผลงานจากการดำเนินงานคาร์บอนเครดิตในการผลิตพืช และคู่มือภาคประชาชน เพื่อให้ผู้สนใจได้รับรู้แนวทางหรือหลักการในการสร้างรายได้จากการผลิตพืช ซึ่งในงานดังกล่าวจะมีการเสวนาในหัวข้อ “ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตรภายใต้ปรากฎการณ์เอลนีโญและโอกาสการค้าตลาดคาร์บอนเครดิตในการผลิตพืชของไทย”

โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ร้อยตำรวจเอก ดร.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย นักวิชาการอิสระ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร รวมถึงผู้แทนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านนโยบาย และ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกลไกทางการเงินและเทคโนโลยี เช่น บ.เวฟ บีซีจี จำกัด ที่จะมาร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อหาทิศทางและโอกาสในอนาคตของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคการผลิตจนถึงตลาดปลายทาง

นอกจากนี้จะส่งต่อการเสวนาต่อเนื่องไปในงานประชุมวิชาการประจำปีของกรมวิชาการเกษตร ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2566 สำหรับเติมเต็มประเด็นต่างๆ ให้ครอบคลุม เพื่อที่กรมวิชาการเกษตรสามารถกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตพืช อย่างเต็มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการจนถึงเกษตรกรรายย่อยต่อไป