“สุพัฒนพงษ์” แจงกลางสภาฯ ใช้ที่ดิน ส.ป.ก. 1.5 หมื่นไร่ สร้างศูนย์ธุรกิจอีอีซีไม่ผิดวัตถุประสงค์ ยันไม่ทำเป็นอุตสาหกรรม แต่เป็นธุรกิจบริการ
นาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องของงบฯ ปี 2566 ที่เกี่ยวกับโครงการอีอีซี โดยยืนยันว่า การใช้ที่ดิน ส.ป.ก.ประมาณ 1.5 หมื่นไร่ เพื่อการพัฒนาเป็นศูนย์ธุรกิจอีอีซีแห่งใหม่เมืองอัจฉริยะนั้น ไม่ผิดวัตถุประสงค์ และที่ผ่านมา มีการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นประชาชนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งเกษตรกร ก็เห็นด้วย ยินดีเข้าร่วมโครงการ อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินอมทราย ไม่อุ้มน้ำ มีเกษตรกร ปลูกยาง มันสำปะหลัง จึงเป็นทางเลือกในการพัฒนาอื่นๆ
และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ วงเงินลงทุนเฟดแรก 19,000 ล้านบาท ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ทั้งนี้ ศูนย์กลางธุรกิจอีอีซี อยู่ในรัศมี 30 กิโลเมตร รอบสนามบินอู่ตะเภา ที่จะพัฒนาเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ดอีอีซี เคยแสดงความเห็นว่าโครงการนี้จะถอดแบบและเป็นมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหม่น่าอยู่ปูซาน โดยตั้งเป้าจะเป็นเมืองใหม่อัจฉริยะ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
เป้าหมายของเมืองใหม่และศูนย์ธุรกิจอีอีซี ได้รวบรวมที่ดิน ส.ป.ก. บางละมุง จ.ชลบุรี ไว้แล้วประมาณ 14,619 ไร่ หรือประมาณ 15,000 ไร่ ห่างจากสนามบินอู่ตะเภา 15 กิโลเมตร มีธุรกิจ 5 คลัสเตอร์ ประกอบด้วย ศูนย์สำนักงานใหญ่ของบริษัทนภูมิภาคและสถานที่ราชการ ศูนย์การเงินอีอีซี ศูนย์การพแพทย์แม่นยำเฉพาะด้าน ศูนการศึกษาวิจัย และธุรกิจพลังงานสะอาดและดิจิทัล แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนทุกลุ่มรายได้ 3,000 ไร่ มีตำแหน่งงาน ประมาณ 2 แสนตำแหน่ง พื้นที่สีเขียว 30% และพื้นที่ใช้สอย 70%
โครงการนี้จะเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในช่วง 10 ปี มูลค่าการลงทุนทั้งโครงการประมาณ 1.34 ล้านล้าน ภาครัฐจะลงทุน 3% ที่เหลือเป็นรูปแบบการลงทุน PPP โดยผลการตอบแทนการลงทุนของรัฐ จะมาจากค่าเช่าที่ดิน ค่าส่วนกลาง และส่วนแบ่งรายได้จากระบบPPP
สำหรับมูลค่าการลงทุนรวมของโครงการ ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ 37,674 ล้านบาท,สำนักงานอีอีซี 28,541 ล้านบาท เช่นค่าเวนคืนที่ดิน เตรียมโครงสร้างพื้นฐานของเมือง, ภาครัฐอื่น ๆ ลงทุน 9,133 ล้านบาท, การลงทุนแบบ PPP ในโครงการประเภทสาธารณูปโภคในเมืองระบบขนส่งสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 131,119 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนจากเอกชนในการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ประมาณ 1,180,808 ล้านบาท
โดยใน 3 ปีแรก ปี 2565-2567 รัฐจะใช้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและการจัดสรรที่ดิน ประมาณ 23,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุน 19,000 ล้าน ดอกเบี้ย 4,000 ล้าน คาดว่าภายใน 10 จะคืนเงินส่วนนี้ให้กับรัฐบาล พร้อมดอกเบี้ย
สำหรับงบประมาณที่ขอให้รัฐบาลช่วยจัดสรร อาทิ ค่าชดเชยที่ดิน ค่าที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียด ค่าปรับพื้นที่และเตรียมการ รวมทั้งค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลาง
สำหรับวาระที่เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ภายใต้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพ.ศ. 2561 มาตรา 6 (5) ระบุว่า พื้นที่อีอีซี จะต้องมีการพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยระดับนานาชาติที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย และประกอบกิจการอย่างมีคุณภาพ
และอาศัยอำนาจตามมาตรา 34 ที่ระบุไว้ว่า กรณีมีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเขตอีอีซี ให้สำนักงานมีอำนาจดำเนินการโดยวิธีการจัดซื้อ เช่า เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน เวนคืน หรือโดยวิธีการอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
และการใช้ที่ดิน ส.ป.ก.ในมาตรา 36 บัญญัติไว้ว่า กรณีมีความจำเป็นเพื่อการพัฒนาอีอีซี คณะกรรมการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจให้สำนักงานเข้าใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มาตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อการดำเนินการหรือประกอบกิจการอื่นใด นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องดำเนินการเพิกถอนเขตปฏิรูปที่ดินสำหรับที่ดินส่วนนั้น