นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 “งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม THAIFEX-ANUGA ASIA” ได้เคยจัดขึ้นในรูปแบบ On Ground อย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงและกระจายวงกว้าง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเป็นงานแสดงสินค้าอาหารเสมือนจริง THAIFEX – Virtual Trade Show (VTS) โดยจัดเจรจาธุรกิจออนไลน์หรือVirtual -Online Business Matching (V-OBM)ผ่านแพลตฟอร์ม www.thaifex-vts.com
สำหรับปีนี้ สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการและเดินทางระหว่างประเทศได้แล้ว ผู้จัดงานทั้ง 3 ฝ่าย จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะจัด THAIFEX-ANUGA ASIA ให้ยิ่งใหญ่ในรูปแบบ On Ground Trade Show เช่นเดิม แต่ยังคงการจัดงานแสดงสินค้าอาหารเสมือนจริงควบคู่กัน เพื่อรองรับผู้ที่ยังไม่สะดวกเดินทางโดยใช้ชื่องานปีนี้ว่า THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 “The Hybrid Edition” จัดภายใต้คอนเซ็ปต์ Re-imagine the Future of Food & Beverage Industry
งานนี้จะเป็น “งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม” ที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่งเอเชีย เป็นเวทีการค้าระดับโลกที่ผู้ประกอบการใน “อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม” จากประเทศต่าง ๆ จะมาเจรจาธุรกิจทั้งแบบ On Ground Trade Show และ Virtual Trade Show กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 28 พฤษภาคมนี้ ในส่วนของ On Ground จัดบนพื้นที่จริงที่ Challenger Hall 1-3 และ IEC Hall 5-10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นวันเจรจาการค้าทั้ง 5 วัน และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม และซื้อสินค้าได้ในวันสุดท้ายซึ่งยังคงมาตรการป้องกันโควิด-19 และดูแลสุขอนามัยของผู้เข้าร่วมงานอย่างเคร่งครัด นายภูสิต กล่าว
นายภูสิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเมื่อทราบว่างาน “THAIFEX-ANUGA ASIA” ในปีนี้จะกลับมาจัดในรูปแบบ On Ground อีกครั้ง ต่างก็ให้การตอบรับเข้าร่วมงานเป็นอย่างดี โดยในฝั่งผู้นำเข้าที่ทางทูตพาณิชย์ทั้ง 58 แห่งทั่วโลกได้เชิญเข้ามาร่วมงานนั้น ก็ได้แจ้งยืนยันการเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง
ขณะเดียวกัน ก็จะมีผู้ซื้อจากทางโคโลญเมสเซ่ ผู้จัดงานร่วมของเราที่ได้เชิญให้เดินทางมาเยี่ยมชมงานอีกจำนวนมาก ทำให้เรามั่นใจว่างานนี้จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และผลักดัน “อาหารไทย” สู่เวทีโลก ตามนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้เข้าชมงานในรูปแบบ On Ground รวม 75,000 ราย ผู้เยี่ยมชมผ่านแพลตฟอร์ม www.thaifex-vts.com มากกว่า 3,500 ราย และได้ตั้งเป้าว่า งานนี้จะเกิดยอดเจรจาสั่งซื้อประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดสั่งซื้อจากการจัดงาน On Ground 9,550 ล้านบาท และยอดสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์ม www.thaifex-vts.com เป็นมูลค่าสูงถึง 450 ล้านบาท
สำหรับรูปแบบการจัดงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 “The Hybrid Edition” ในส่วนของ On Ground Trade Show จะมีสินค้ามาจัดแสดง 11 โซนสินค้า ประกอบด้วย สินค้าอาหารทุกประเภท อาหารทะเล อาหารแช่แข็ง เนื้อสัตว์ ข้าวและธัญพืช ผักและผลไม้ สินค้าอาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ชาและกาแฟ เครื่องมือ/เครื่องใช้/อุปกรณ์ รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม”
นอกจากนี้ ยังมีโซนพิเศษสำหรับจัดแสดงสินค้าในกลุ่มฮาลาลและออแกนิกส์ อาหารนวัตกรรม รวมถึงสินค้าอาหารจากส่วนภูมิภาคที่จังหวัดต่าง ๆ เลือกสรรมาเข้าร่วมงานตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในการเชื่อมโยงความร่วมมือของพาณิชย์จังหวัดในฐานะ Salesman จังหวัด สู่ทูตพาณิชย์ในนาม Salesman ประเทศ
ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ นิทรรศการประชาสัมพันธ์สินค้าผลไม้ภาคตะวันออกของไทย และกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าผลไม้ศักยภาพของไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด โดยจัดให้มีบริการสั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-order) กับ “เกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง” รวมทั้งกิจกรรมจัดแสดงสินค้าแห่งอนาคต (Future Food) ของผู้ประกอบการไทยที่เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากขึ้นในตลาดโลก
ในส่วนของ Virtual Trade Show เป็นการจัดงานแสดงสินค้าอาหารเสมือนจริงที่เรียกว่า THAIFEX – Virtual Trade Show (VTS) ผ่านแพลตฟอร์ม www.thaifex-vts.com โดยผสานการจัด Virtual Trade Fair และ Virtual – Online Business Matching (V-OBM) เข้าด้วยกัน รองรับการเจรจาการค้าเสมือนจริงจากผู้ซื้อทั่วทุกมุมโลกรวมถึงประเทศจีนแบบตามเวลาจริง (Real time)
ผู้ชมงานสามารถเลือกประเภทสินค้าที่สนใจชมคูหา วิดีโอ และแคตตาล็อกสินค้าได้แบบ 3 มิติ และชมสินค้าในรูปแบบ2 มิติและ 360 องศาที่สามารถหมุนและซูมดูรายละเอียดฉลาก รวมทั้งเข้าไปเจรจาการค้าได้ทั้งในรูปแบบการพิมพ์ข้อความสนทนา (Chat) การสนทนาด้วยเสียง (Voice Call) การสนทนาด้วยภาพพร้อมเสียง (Video Call) และยังมีกิจกรรมLive Streaming นำเสนอเสมือนจริงสำหรับผู้แสดงสินค้าต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรวมถึงสตาร์ตอัปต่าง ๆ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทย” มีมูลค่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน GDP อาหารต่อ GDP ประเทศอยู่ที่ 5.5% โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก มีส่วนแบ่งในตลาดโลกอยู่ที่ 2.3% และเป็นอันดับ 4 ของเอเชียรองจากจีน อินโดนีเซีย และอินเดีย
การจัดงานแสดงสินค้าอาหาร ” THAIFEX-ANUGA ASIA” จะทำให้ผู้ประกอบการไทยทั้ง SMEs รายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ ได้นำสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและสากล ได้พบปะกับผู้ซื้อที่มีศักยภาพทั้ง On GroundและVirtual รวมทั้งได้นำเสนอสินค้าที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ตามเทรนด์ความต้องการของโลกและเทรนด์อาหารยุคใหม่ซึ่งงาน THAIFEX–ANUGA ASIA พร้อมที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จและเติบโต
เราได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการต่างมีความพร้อมในการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและนวัตกรรมใหม่ออกไปสู่สายตานานาประเทศ อีกทั้งได้มีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ตามเทรนด์ยุคใหม่ มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับตลาดและความต้องการของผู้บริโภค อาทิ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรักษาคุณภาพสินค้า รักษาสิ่งแวดล้อม สะดวกต่อการขนส่ง มีความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจเรื่องของการปลอดเชื้อให้แก่ผู้บริโภค
โดยขณะนี้ มีผู้ส่งออกไทยยืนยันเข้าร่วมงานแล้วกว่า 722 ราย 2,085 คูหา โดยเป็น SMEs กว่า 400 ราย สำหรับผู้เข้าชมงาน ได้รับการติดต่อที่จะเข้าเยี่ยมชมงานทั้งจากในและต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากงานนี้มีความหลากหลายของสินค้ามีตั้งแต่ระดับ Niche Market จนถึง Commodity และมีผู้เล่นในตลาดทุกระดับ นายวิศิษฐ์ กล่าว
ทางด้านนายแมธเธียส คูเปอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโลญเมสเซ่ จำกัด กล่าวว่า การจัดงานในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศและผู้นำเข้าสินค้า 815 ราย บนพื้นที่ 11,592 ตร.ม. ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับงานล่าสุดในปี 2563และแม้จะมีกฎระเบียบด้านการเดินทางที่เข้มงวดสำหรับบางประเทศ แต่จำนวนผู้ร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของงานนี้ที่ช่วยผลักดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาค
โดยผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศและผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวมาจาก 35 ประเทศ กลุ่มใหญ่ที่สุดมาจากเกาหลีใต้ รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม อิตาลี มาเลเซีย และตุรกี และขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโปรแกรม Hosted Buyers อย่างคับคั่ง โดยบริษัทรายใหญ่ของโลก อาทิ Dole Asia และ NTUC ก็ได้ยืนยันที่จะเข้าร่วมงานนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการจัดงานในรูปแบบปกติยังคงมีความสำคัญต่อธุรกิจ
ในขณะที่ผู้แสดงสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมงานในพื้นที่จริงเช่น จีน ก็ได้เข้าร่วมงานแบบเสมือนจริง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจต่างต้องการเข้าร่วมงานนี้ และพวกเขาได้ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะข้อจำกัดด้านการเดินทาง
ในงานนี้มีเทรนด์ใหม่ที่โดดเด่น คือ ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่ตอบรับกระแสความยั่งยืน รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากพืช และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากอาหารสะอาด (Clean label) ซึ่งในปีนี้เราได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า20% ของพื้นที่ทั้งหมด และเพื่อตอบสนองเทรนด์ด้านอาหารที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เราจึงร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (Scholars of Sustenance :SOS) ซึ่งเป็นมูลนิธิกู้ชีพอาหาร ให้มาทำหน้าที่จัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเศษอาหารเหลือทิ้งจากการจัดงานครั้งนี้
โดยในช่วงท้ายของงาน มูลนิธิฯ จะรวบรวมอาหารส่วนเกินทั้งหมดจากผู้แสดงสินค้านำไปแจกจ่ายให้กับชุมชนที่มีรายได้น้อย สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และที่พักอาศัยต่าง ๆ ครอบคลุมกลุ่มเปราะบางในสังคม นายแมธเธียส กล่าว