นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นวิทยากรการสัมมนาและบรรยายในหัวข้อเรื่อง “การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร โดยการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิตการแปรรูป และการตลาด” ร่วมกับ นายวีระกร คำประกอบ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน และมีนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การแปรรูป และการตลาดของผลผลิตทางการเกษตร ให้แก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ จำนวน 200 คน ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 65 ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และระดมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 13 ของโลกทำให้สินค้าเกษตรของไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลักโดยเฉพาะวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การแพร่ระบาดของโควิด19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงทำให้ต้นทุนการผลิตภาคการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรจึงต้องขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนที่เรียกว่า “คานงัด” เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก
กระทรวงเกษตรฯ จึงสร้างคานงัดเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนแบบองค์รวมเป็นกลไกแก้ไขปัญหาและพัฒนาศักยภาพภาคเกษตรของไทยจากต้นน้ำถึงปลายน้ำภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แก่ 1) ตลาดนำการผลิต 2) เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3) “3 S” เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน 4) เกษตรกรรมยั่งยืน และ 5) บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วน โดยมีตัวอย่างคานงัดที่ดำเนินการเช่น
1. การสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเกษตร อาทิ การเจรจาความร่วมมือกับประเทศเวียดนามเพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือของ 2 ประเทศ ในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวอันดับที่ 2 และ 3 ของโลก โดยตั้งกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันสร้างอำนาจการต่อรองราคาข้าวในตลาดโลก หรือการยกระดับความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย และดูไบในการขยายตลาดสินค้าเกษตรในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป
2. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ในรูปแบบ online-offline ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับกระทรวงพาณิชย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
3. สร้างโอกาสตลาดใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยแนวทาง “เชื่อมไทย เชื่อมโลก” เช่น กรณีรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าเกษตรไปจีนและร่วมมือกับคาซัคสถาน และดูไบ ในโครงการท่าบกคอคอสเป็นชุมทางรถไฟบริเวณพรมแดนจีน-คาซัคสถานเพื่อขนส่งจากอีสานเกตเวย์ไปเอเซียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป
4. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ด้วยนโยบายเทคโนโลยีเกษตรและนโยบายคุณภาพและมาตรฐานเช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์ AIC) ทุกจังหวัด โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยยกระดับการผลิตอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
5. การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างแบรนด์สู่เกษตรมูลค่าสูง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่ง / (กรกอ.) ร่วมเดินหน้าโครงการ “1 กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร” เพื่อกระจายฐานตลาดและฐานการแปรรูปสินค้าเกษตรใน 18 กลุ่มจังหวัด ครอบคลุมทั่วประเทศและโครงการ “เกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่” และขยายเป็น 5 ล้านไร่ เพื่อให้สินค้าเกษตรมีตลาดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์เกษตรมากขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
6. ริเริ่มเพิ่มสินค้าเกษตรทางเลือกใหม่แทนสินค้าเกษตรเชิงเดี่ยวที่มีปัญหาด้านราคาด้วยนโยบายอาหารแห่งอนาคต (Future Food) เช่น แมลง โปรตีนพืช สาหร่าย ผำ ฮาลาล
7. สร้างกลไกขับเคลื่อนแบบบูรณาการทำงานเชิงรุกทุกภาคีภาคส่วนบนหลักการหุ้นส่วน (Partnership) ระหว่างภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคเกษตรกร ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายทุกชุดของกระทรวงเกษตรฯ ใช้โมเดลทำงานและองค์ประกอบ 4 ฝ่าย
8. บริหารด้านอุปสงค์และอุปทาน (Supply Side & Demand Side management) เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตร เช่น กรณียางพารามีการลดพื้นที่ปลูก 1 แสนไร่ทุกปี พร้อมกับขยายตลาดใหม่ ๆ เช่นเดียวกับข้าวที่ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสมให้ผลผลิตต่ำแต่ลงทุนสูงขาดทุนต่อเนื่อง โดยปรับเปลี่ยนไปสู่พืชทางเลือกที่มีตลาด เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ทั้งยางพารา และข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจที่ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกแต่ราคาไม่แน่นอนผันผวนตลอดมา จึงต้องบริหารทั้งปริมาณผลผลิตและตลาดไปพร้อม ๆ กัน
9. การพัฒนาและบริหารปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และพลังงาน ยกตัวอย่างในภาวะปุ๋ยแพงได้ส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์ และลดการใช้ปุ๋ยเคมี โดยส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ มีการจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์ PGS แห่งประเทศไทยสำเร็จเป็นครั้งแรก หรือโครงการข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่รวมทั้งการส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมัน เช่น ไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอลล์ (เอทานอล) แปรรูปจากปาล์มน้ำมัน อ้อยและมันสำปะหลัง หรือการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีเกษตรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
10. การปฏิรูปการบริหารและบริการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารราชการแผ่นดินและด้านการให้บริการประชาชนด้วยโครงการพัฒนา 22 หน่วยงานด้วยระบบดิจิตอล (Digital Transformation) และศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (ระบบบิ๊กเดต้า) รวมทั้งระบบ NSW และลายเซ็นดิจิตอล (Digital Signature) โดยตั้งเป้าหมายให้กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาและพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยต้องเป็นกระทรวงที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพในการรับมือกับโจทย์ปัจจุบันและอนาคต
ตัวอย่าง 10 คานงัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแบบองค์รวมเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรพร้อมกับสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงในตลาดโลกจะทำให้เกษตรกรและประเทศมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างยั่งยืน