วันนี้(22 ก.ค.65) ที่อาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ.ได้เบิกตัวนางนาฎศิลป์(ขอสงวนนามสกุล) อายุ56 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1422/2565 ในคดีหลอกลงทุนในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรของบริษัทปุ๋ย ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท จากห้องควบคุมตึกหน้ากองปราบ ไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อทำการสอบปากคำเพิ่มเติม
นางนาฎศิลป์ มีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ตอบคำถามของสื่อมวลชน และปฏิเสธว่าไม่ได้ทำการหลอกลวงลงทุนปุ๋ยหรือมีการแอบอ้างเบื้องสูงแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายหลายคน ไปเฝ้าสังเกตการณ์การสอบปากคำในครั้งนี้ด้วย
ด้านผู้เสียหายรายหนึ่ง เปิดเผยว่า บริษัทผู้ต้องหาได้ว่าจ้างให้จัดงานสัมมนาชักชวนให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกบริษัทปุ๋ย และจะได้สิทธิพิเศษ เช่น ทองคำ รถประจำตำแหน่ง บัตร สำหรับใช้ซื้อสินค้าโดยมีวงเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการไปแอบอ้างอ้าง ถ่ายภาพตามร้านทอง โชว์รูมรถ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมถึงการแอบอ้างเบื้องสูง จึงขอฝากถึงเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบว่า มีการแอบอ้างจริงหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายทางบริษัทก็ไม่จ่ายค่าจ้างจัดงานสัมมนา จึงเป็นคนกลางรวบรวมผู้เสียหาย
โดยมีผู้เสียหายแล้วกว่า 40 คน มูลค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท แต่หากรวมกับผู้เสียหายทั่วประเทศแล้วเชื่อว่าจะยังมีอีกจำนวนมาก และกำลังมีการชักชวนประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนปุ๋ยของผู้ต้องหาอ้างนั้นที่ผ่านมาไม่ได้ให้ปุ๋ยจริงตามที่กล่าวอ้าง แต่ภายหลังได้นำปุ๋ยคนละยี่ห้อมาให้แทน ส่วนทองคำและรถยนต์ประจำตำแหน่งนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ทองหรือรถจริง โดยจะเป็นผู้ที่หาสมาชิกได้เป็นจำนวนมากซึ่ผู้ต้องหาไม่ได้ก่อคดีครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงเป็นกังวลว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัว
ด้าน พ.ต.อ.อภิชาติ เรนชนะ ผกก.2 บก.ปคบ. กล่าวว่า จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ให้ข้อมูลอ้างว่าทำธุรกิจในรูปแบบบริษัท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีการจัดทำเอกสารจัดจ้างที่ชัดเจน เชื่อว่าเป็นการจัดตั้งบริษัทบังหน้า และผู้ต้องหายังอ้างว่าทุกคนได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทำ สามารถนำปุ๋ยไปใช้ได้ ซึ่งเรื่องของปุ๋ย 1 ตัน ตำแหน่ง, บัตรเงินสด และรถประจำตำแหน่งนั้น ผู้เสียหายทุกคนยืนยันว่าไม่ได้รับจริง แต่ทางผู้ต้องหาอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะได้รับ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่มีข้อมูลว่า จะมีการแจกปุ๋ยแก่ผู้ร่วมลงทุน จึงสั่งการให้ตรวจยึดมาตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ ซึ่งฉลากปุ๋ยดังกล่าว มีการแจ้งว่าเป็นฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารเติมเต็มสูตรปุ๋ย ไม่มีธาตุอาหาร ซึ่งหากไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้าง จะเข้าข่ายความผิดเรื่องการขายปุ๋ยอินทรีย์ปลอม ส่วนเรื่องการแอบอ้างเบื้องสูงนั้น ยังไม่พบแต่อย่างใด
พ.ต.อ.อภิชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนในเรื่องเส้นทางการเงิน พบว่า มีการโอนเงินเข้าไปยังบัญชีที่รับโอนเงิน 3 บัญชี รวมประมาณ 15 ล้านบาท และได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่มีเงินคงเหลือในบัญชีเพียงหลักหมื่นบาท จึงเป็นห่วงผู้เสียหายที่อยู่ต่างจังหวัด ขณะนี้ทราบว่ามีการเข้าแจ้งความที่สภ.เมืองพัทลุง 13 ราย และสภ.เมืองสุโขทัยอีก 1 ราย แต่ส่วนใหญ่ผู้เสียหายมักจะไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก ซึ่งพนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาส่งฝากขังศาลอาญา โดยคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีสูง และมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก รวมถึงจะขยายผลสอบปากคำสมาชิกในองค์กรของผู้ต้องหาต่อไป
คดีนี้เกิดจากกรณีที่ผู้เสียหายหลายราย ถูกหลอกลงทุนในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรของบริษัทปุ๋ยแห่งหนึ่ง และได้เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคบ.เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา จากนั้นบก.ปคบ.รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ นางนาฎศิลป์ (สงวนนามสกุล) อายุ56 ปี เจ้าของบริษัทปุ๋ยทิพย์ในความผิดฐาน”ฉ้อโกงประชาชน” มูลค่าความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท โดยสามารถติดตามจับได้ที่บริเวณห้องโถงของโรงแรมแห่งหนึ่ง ต.หนองปรือ อ.บางพล จ.สมุทรปราการ ขณะหลบหนี เมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา