เกษตรฯพร้อมขับเคลื่อน”ความมั่นคงด้านอาหาร” มั่นใจแหล่งอาหารมีเพียงพอ

เกษตรฯ พร้อมรับมือขับเคลื่อนความมั่นคงด้านอาหาร มั่นใจผลผลิตแหล่งอาหารมีเพียงพอต่อประชากรในประเทศ พร้อมเตรียมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค 26 สิงหาคมนี้ ณประจวบคีรีขันธ์

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมรับมือวิกฤตความมั่นคงอาหารมั่นใจ ไทยมีผลผลิตเพียงพอต่อประชากรในประเทศ ทั้งกลุ่มสินค้าคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน อาทิข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร ไก่เนื้อ และ  ไก่ไข่ ขณะที่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ ถั่วเหลืง ซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้า ได้วางมาตรการระสั้นและระยะยาวเพื่อรับมือ พร้อมกำชับทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหาร โดย 26 สิงหาคมนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 7(The 7th APEC Virtual Food Security Ministerial Meeting) ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภูมิภาค และจะมีการรับรองปฏิญญาความมั่นคงอาหารเอเปค ร่วมกับสมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งไทยจะผลักดันประเด็นหลักที่จะช่วยสนับสนุนโยบายความมั่นคงด้านอาหาร และครัวไทยสู่ครัวโลก

844C2D82 57FE 418F 894A 942110F4583F

สำหรับประเด็นด้านความมั่นคงอาหาร นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงรายละเอียดแก่สื่อมวลชนว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงอาหารที่หลายประเทศต่างวิตกกังวล และเป็นกระแสการตื่นตัวไปทั่วโลกในขณะนี้ มีประชากรโลกเกือบ 200 ล้านคน กำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหาร ซึ่งเกิดจากหลากหลายปัจจัยด้วยกัน นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปลายปี 2562 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนล่าสุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน ที่ถือเป็นการจุดชนวนให้เกิดผลกระทบเศรษฐกิจโลกหลายด้าน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีบทบาทด้านสินค้าเกษตรที่จำเป็นต่อความมั่นคงอาหาร เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของโลก โดยมีสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลีประมาณร้อยละ 30 ของการค้าข้าวสาลีทั่วโลก ยูเครนส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันประมาณร้อยละ 50 ของโลก ในขณะที่และรัสเซียส่งออกปุ๋ยประมาณร้อยละ 20 ของโลก ส่งผลให้ราคาพลังงานและปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น และเป็นกระแสผลักดันให้ประเทศผู้ผลิตอาหารออกนโยบาย ‘ห้ามส่งออก’ เพื่อรักษาสมดุลอาหารเพื่อเลี้ยงคนในประเทศ

9485F178 7BA2 49DB 9275 DC50F5384366

สำหรับประเทศไทย แม้จะเป็นผู้ผลิตอาหารสำคัญในฐานะ ‘ครัวโลก’ ซึ่งมีความพอเพียงของอาหารในการบริโภคภายในประเทศ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจในวิกฤตการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยประเทศไทย มีการวางแผนเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงอาหารทั้งระบบ ผ่านกลไกคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับด้านนโยบายอาหารของประเทศ โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านต่างๆทุกมิติ ขณะเดียวกัน เราสามารถใช้วิกฤตการณ์กลายเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น 

จากข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรปี2565 ช่วง 5 เดือน(มกราคม – พฤษภาคม) เทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปโลกเพิ่มขึ้นจาก 5.48 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 6.91 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 142,986 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 กลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียน ข้าว ยางธรรมชาติ ไก่ปรุงแต่ง อาหารสุนัขหรือแมวปรุงแต่ง ปลาทูนากระป๋อง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง น้ำยางธรรมชาติ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารปรุงแต่งอื่นๆ (เช่น เต้าหู้ แอลกอฮอล์ผง และครีมเทียม) 

ดังนั้น แสดงให้เห็นว่า ไทยยังคงรักษาการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรได้เป็นอย่างดี และได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรอาหารและอาหารแปรรูปสูงขึ้น เพราะสามารถผลิตเพื่อบริโภคและส่งออกได้ดี เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเอื้อต่อการทำเกษตรกรรม จึงมีความมั่นคงในด้านอาหารระดับหนึ่ง

701C4254 487C 4C6B 854C AC5CB6530913

ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหาร โดยให้ความสำคัญกับการจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันทั้งระบบ (BIG DATA) โดยได้มอบหมายสศก. ดำเนินการจัดทำปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือนระดับจังหวัด (Provincial Crop Calendar) เพื่อคาดการณ์ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรแบบรายชนิดสินค้า ที่จะออกสู่ตลาดเป็นรายเดือนตลอดปีเพาะปลูกล่วงหน้า ในแต่ละจังหวัด อำเภอ และตำบล รวมทั้งจะทำให้ทราบปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัดด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการได้ทั้งระบบทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤต

หากพิจารณาภาพรวมการผลิตสินค้าเกษตร รวมทั้งความต้องการใช้ในประเทศ และการส่งออกสินค้าเกษตรหลักที่ให้คุณค่าทางโภชนาการ จะเห็นได้จากกลุ่มสินค้าสำคัญ ๆ อาทิ แหล่งคาร์โบไฮเดรต สินค้าข้าว 

25CCEF44 CB07 4F9F A97C 4AB0F69A5802

โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไทยมีปริมาณผลผลิตข้าวสารเฉลี่ยปีละ 20.67 ล้านตัน มีความต้องการใช้เฉลี่ย12.27 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 6.48 ล้านตัน มันสำปะหลังโรงงาน มีปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังโรงงาน เฉลี่ย 31.72 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้หัวมันสดเฉลี่ย 11.83 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกมันเส้น มันสำปะหลังอัดเม็ด แป้งมันสำปะหลังเฉลี่ย 6.67 ล้านตัน  

แหล่งไขมัน อาทิ ปาล์มน้ำมัน ไทยมีปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันเฉลี่ย 16.52   ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเฉลี่ย1.25 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มเฉลี่ย 489,427 ตัน  แหล่งโปรตีน อาทิ ไข่ไก่ ไทยมีปริมาณผลผลิตไข่ไก่เฉลี่ย 14,970 ล้านฟอง โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 14,720 ล้านฟอง และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 250 ล้านฟอง ไก่เนื้อ ไทยมีปริมาณผลผลิตไก่เนื้อเฉลี่ย 2.63 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 1.57 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเฉลี่ย 903,584 ตัน สุกร ไทยมีปริมาณผลผลิตสุกรเนื้อเฉลี่ย 1.92 ล้านตัน โดยมีความต้องการใช้เฉลี่ย 1.34 ล้านตัน และปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรเฉลี่ย 23,168 ตัน จะเห็นได้ว่าปริมาณผลผลิตพืชและปศุสัตว์ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สุกร ไก่เนื้อและไก่ไข่ มีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มสินค้าในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ ถั่วเหลือง ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมหลายประเภททั้งอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร อุตสาหกรรมสกัดน้ำมัน และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์  ที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้า         

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา เมียนมา ส่วนถั่วเหลือง นำเข้าจากบราซิล และอเมริกา ประกอบกับ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ทำให้เกิดการขาดแคลนพืชวัตถุดิบ ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มีมาตรการ ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น ซึ่งข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่ใช้เป็นแหล่งพลังงานในสูตรอาหารสัตว์กระเพาะเดี่ยว(ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ไก่พื้นเมืองและสุกร)กรมปศุสัตว์ จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเพิ่มการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศในสูตรอาหารสัตว์ เช่น การใช้ข้าวกะเทาะเปลือก หรือมันสำปะหลังในสูตรอาหารเพื่อทดแทนข้าวโพด และ ข้าวสาลี เพื่อให้เกษตรกรได้เลือกสูตรอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และเศรษฐกิจ เช่น สามารถใช้ข้าวกะเทาะเปลือกแทนข้าวโพดหรือข้าวสาลีในสูตรอาหาร 

โดยได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สูตรอาหารสัตว์ 90 สูตร (สูตรอาหารสัตว์กระเพาะรวม (โค กระบือแพะ แกะ) 75 สูตร และ สัตว์กระเพาะเดี่ยว (ไก่ สุกร เป็ด) 15 สูตร ผ่านสื่อออนไลน์ รวมทั้งสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นเป็นส่วนผสมและผลิตอาหารสัตว์ใช้เอง โดยให้บริการยืมเครื่องกลด้านอาหารสัตว์ (Motor Pool) และศูนย์บริการอาหารสัตว์กรมปศุสัตว์ (Feed Center) ตลอดจนมีทีมหน่วยบริการจัดการอาหารสัตว์เคลื่อนที่ “Feeding Management Mobile Unit (FMMU)”ให้คำแนะนำการจัดการด้านอาหารสัตว์ เพื่อการจัดการอาหารสัตว์ที่มีความแม่นยำ (precision feeding) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 1 – 2 บาท/กิโลกรัม โดยสามารถขอรับบริการได้ที่สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ทั้ง 33 แห่ง

มาตรการระยะยาว (ปี 2565 – 2567) ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์และถั่วเหลือง เพื่อทดแทนการนำเข้า                 

โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ส่งเสริมและผลักดันให้สมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการผลิตข้าวโพดหลังนาเพื่อทดแทนการขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คุณภาพในประเทศ ได้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้พื้นที่หลังจากการทำนาเพื่อปรับสมดุลของปริมาณการผลิตข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในการลดรอบการปลูกข้าว ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลอุปสงค์ อุปทานเพื่อลดปัญหาผลผลิตล้นตลาดราคาผลผลิตตกต่ำ และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรต่อไป  

2D35D1EA 643B 4D35 BA8D C30446EDDE5A

และ สศก.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับ ดูแล เมล็ดถั่วเหลือง ได้ส่งเสริมผลักดันการปลูกถั่วเหลืองในประเทศ โดยขอความร่วมมือจากผู้มีสิทธินำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกร ตามชั้นคุณภาพ และเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน โดยผู้มีสิทธินำเข้ายินดีที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรวบรวมผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองให้กับสหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน ที่ขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ.2548 เพิ่มขึ้นอีกกิโลกรัมละ 1 บาท ในทุกชั้นเกรดคุณภาพอีกด้วย รวมถึงคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานและมี สศก. เป็นฝ่ายเลขานุการ พร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถั่วเหลืองของไทยรองรับกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งในปี 2565 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สศก. จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่7 (The 7th APEC Virtual Food Security Ministerial Meeting) ร่วมกับสมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจในวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565  ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะมีการรับรองปฏิญญาความมั่นคงอาหารเอเปค โดยสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยไทยจะผลักดันประเด็นหลักที่จะช่วยสนับสนุนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ด้านความปลอดภัยอาหาร ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ด้านการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนร่วมกัน

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนความมั่นคงด้านอาหาร สิ่งที่ต้องคำนึง คือ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) Availability: อาหารเพียงพอ 2) Access: การเข้าถึงอาหาร 3) Stability: เสถียรภาพด้านอาหาร 4) Utilization : การใช้ประโยชนจ์ากอาหาร 

ซึ่งแน่นอนว่า ประเทศไทย มีการผลิตอาหารที่พอเพียง ส่วนประเด็นการเข้าถึงอาหาร พบว่า ยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงอาหาร ด้วยการสร้างระบบอาหารชุมชน หรือธนาคารอาหาร (Food Bank) สนับสนุนเครือข่ายเพื่อการแลกเปลี่ยน/เข้าถึงอาหาร โดยเฉพาะในกรณีมีภัยพิบัติ ขณะที่มาตรการในการส่งเสริมการส่งออกควรมีการเจรจาขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ จัดทำความตกลงความร่วมมือทางการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ เช่น FTA ไทย และ EU รวมทั้งเร่งส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตลาดที่มีความต้องการนำเข้า จากช่วงวิกฤตที่บางประเทศมีการจำกัดการส่งออกสินค้าวัตถุดิบอาหาร