วันที่ 2 ก.ค. 2567 บรรยากาศ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมาพบว่า มีกลุ่มประชาชนในหลายอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่โปรแตส ซึ่งที่อ.โนนไทย อ.โนนสูง และอ.เมือง กำลังทำสำรวจแร่อยู่และขอสัมปทานบัตรเหมืองแร่ ซึ่งเหตุผลที่ต้องมาวันนี้ เพราะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้นโยบายไว้ สำหรับการขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันเมืองแร่โปรแตส ซึ่งอ.ด่านขุนทดก็เป็นหนึ่งในการที่ขอให้มีเร่งรัดการทำ ทั้งนี้ตอนที่อนุมัติได้อ้างว่าเพื่อชดเชยการนำเข้า 8 แสนตัน แต่ปรากฏว่ากลับให้มีการอนุมัติให้มีการดำเนินการแล้วกว่า 3 ล้านตัน
ดังนั้น จึงต้องการที่จะยื่นหนังสือถึงนายเศรษฐา และหากวันนี้ไม่ออกมารับหนังสือทางกลุ่มจะเผาหนังสือที่จะยื่นบริเวณหน้าประตูทางเข้าของบรรดารัฐมนตรีและนายเศรษฐา จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปรับเส้นทางให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่นเข้าประตูอื่น
ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมปราศรัยอย่างดุเดือด เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ชี้หน้า จึงย้อนกลับว่า พวกคุณกินภาษีประชาชน ไม่ได้เดือดร้อนเหมือนพวกตน ฉะนั้น อย่ามาชี้หน้า นายกฯ ก็เป็นประชาชนเหมือนกับทุกคน เพียงแต่สวมหัวโขนเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และก็ไม่รู้ว่านายเศรษฐาจะรอดคดี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งก่อนจะหลุดจากตำแหน่ง ขอให้ทำประโยชน์เพื่อคนโคราช
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้จัดตำรวจควบคุมฝูงชนหนึ่งกองร้อยมาดูแลความเรียบร้อย จนทำให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้ชุมนุม ว่า จะมาหาพระแสงอะไร พวกที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือพ่อแม่พี่น้องของพวกคุณ จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายตัว
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่านี่ไม่ใช่การยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีครั้งแรกโดยก่อนหน้านี้มีการยื่นหนังสือขณะที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ต่างจังหวัดมาแล้วถึง 2 ครั้ง
“รมว.อุตสาหกรรม” รุดรับหนังสือ เจอผู้ชุมนุมตอก “ปุ๋ยกระสอบแรกของท่านมากับคราบน้ำตาของประชาชน”
ต่อมา นางสาวพิมพ์ภัทราวิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางมารับหนังสือจากกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านเหมือนโปแตส ที่มาปักหลักชุมเรียกร้องหน้าที่ประชุมครม.สัญจรจังหวัดนครราชสีมา
โดยแกนนำกล่าวต้อนรับทันที ว่า บรรยากาศ เหมือน รัฐมนตรีมาเยี่ยมนักโทษ เนื่องจากเป็นการเจรจาผ่านรั้วประตู ทำให้เจ้าหน้าที่เปิดรั้วให้รัฐมนตรีไปรับมอบหนังสือจากมือผู้ชุมนุม จากนั้นผู้ชุมนุมได้นำเกลือที่ขึ้นในนาข้าว จากผลกระทบการทำเหมืองโปแตสมากองหน้ารัฐมนตรี พร้อมประกาศ 3 ข้อเรียกร้องว่า ขอให้มีคำสั่งให้ยกเลิกแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ฉบับที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแร่โปแตสทั้งหมด เนื่องจากแผนแม่บทดังกล่าวไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแร่พ.ศ 2560 โดยไม่มีการสำรวจและกันพื้นที่โดยกำเนิดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง และเปิดโอกาสให้มีการสำรวจแร่และทำเหมืองแร่โปรแตสในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตแหล่งแร่ เพื่อการทำเหมือง
ขอให้ประเมินสิ่งแวดล้อม สำหรับการพัฒนาเหมืองแร่โปรแตสใหม่ เนื่องจากบริบทและความต้องการในการใช้แร่โปรแตส มีวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนไปและเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป้าหมายของการให้ทำเหมืองแร่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ที่มุ่งเน้นไปสู่การส่งออกมากกว่าการลดการนำเข้า รวมถึงการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ผ่านมาเป็นการเร่งรัดเพื่อให้มีการเปิดเหมืองโดยไม่คำนึงถึงดุลยภาพด้านวิถีชีวิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างเพียงพอ พร้อมขอให้เร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการทำเหมืองแร่โปรแตสในพื้นที่อำเภอด่านขุนทดจังหวัดนครราชสีมา อย่างเร่ง หากเพิกเฉยยื้อเวลาออกไปยิ่งทำให้เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรม ไม่มีศักยภาพในการกำกับดูแลและควบคุมให้เกิดการทำเหมืองที่มีประสิทธิภาพได้
ทั้งนี้ หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าไม่ทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น ก็เห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เห็นคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง และต้องการเพียงตัวเลขจีดีพี และหากรัฐบาลยังปล่อยให้ทำเหมืองแร่ แผ่นดินอีสานก็ไม่สามารถฟื้นคืนได้
หลังรับหนังสือ กลุ่มผู้ชุมนุมกล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาไหล ว่า “ปุ๋ยกระสอบแรกของท่านมากับคราบน้ำตา เอาตัวพวกเราไปก็ได้ ปุ๋ยกระสอบแรกของท่านอยู่ตรงนี้”
/