วันที่ 30 มิถุนายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่อีสานใต้ เป็นวันที่ 3 หลังนายกรัฐมนตรีพักค้างคืนจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อเวลา 09.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อมายังจังหวัดสุรินทร์
นายกฯ เยี่ยมชมแม่พันธุ์โคเนื้อ ของกัปตันฟาร์มวากิว ซึ่งเป็นเครือข่ายโคเนื้อสุรินทร์วากิว โดยนายกรัฐมนตรีสอบถามถึงการเลี้ยง และการพัฒนาคุณภาพเนื้อ เพื่อให้เทียบเท่ากับต่างประเทศซึ่งมีราคาสูงสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
จากนั้นนายกฯ ได้แวะเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์จากเนื้อวากิว พร้อมชิมเนื้อวากิวย่างก่อนจะชมว่าอร่อย เนื้อดี ก่อนสอบถามราคาว่าผลิตภัณฑ์แปรรูปแช่แข็งราคาเท่าไหร่ พร้อมนำเนื้อวากิวย่างแจกให้คณะที่ติดตามได้ลองชิมด้วย
ทั้งนี้ จังหวัดสุรินทร์เสนอประเด็นปัญหาและความต้องการในการพัฒนาพื้นที่ต่อนายกฯหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการพัฒนายกระดับสินค้าปศุสัตว์มูลค่าสูง คือโคสายพันธุ์วากิว ซึ่งเป็นโคที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า เป็นโคสายพันธุ์ดี เนื้อนุ่ม มีปริมาณไขมันแทรกในเนื้อสูง เพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้เกษตรกรมากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องของการพัฒนาโคสายพันธุ์โคสุรินทร์กิวยังมีอีก 2-3 เรื่องที่จะต้องผลักดันให้ครบวงจร แม้พัฒนาสายพันธุ์ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ตัวหนึ่งมีกำไร 4,000-5,000 บาท ซึ่งถือว่าสูง แต่หากระยะกลางระยะยาวสามารถการพัฒนาสายพันธุ์ไปถึงเนื้อมัตสึซากะได้ก็จะดีมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดเวลาที่เรามีของที่ดีเราอย่าไปคำนึงถึงแค่กำไรระยะสั้น เพราะเป็นการทุบหม้อข้าวตนเองเราต้องคำนึงถึงมาตรฐานของสินค้า เช่น เนื้อวากิว มาจากญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐาน จากเนื้อธรรมดากิโลกรัมละ 200 เป็นเนื้อวากิวขายได้กิโลกรัมละ 2,000-3,000 บาท แต่ต้องมีคุณภาพทั้งรสชาติและความนุ่ม เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญพร้อมที่รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนโดยเฉพาะเรื่องของโรงเชือดที่ยังมีไม่เพียงพอ ส่วนตลาดรองรับไม่ต้องห่วงโดยเฉพาะตะวันออกกลางมีตลาดรองรับมากเพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือต้องได้มาตรฐาน จึงอยากจะให้เราเร่งพัฒนาให้ได้ระดับมาตรฐาน ดันให้เนื้อวากิวสุรินทร์เป็นสินค้า GI ของจังหวัดสุรินทร์
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจคุณประโยชน์ข้าวผกาอำปึล หรือ ปกาอำปึลข้าวจ้าว พื้นถิ่นเมืองสุรินทร์ หรือข้าวดอกมะขามข้าว ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคจำนวนมากเนื่องจากมีประโยชน์ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โดยปัจจุบันราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาทตกตันละ 100,000 บาททำให้นายกฯ รู้สึกตื่นเต้น
ต่อมานายเศรษฐา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เศรษฐา ทวีสิน – Srettha Thavisin พร้อมรูปภาพเนื้อวากิว ข้อความว่า ศักยภาพสุรินทร์ ’ไม่ธรรมดา’ ทั้งงานฝีมือ ผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพ ผ้าไหมชั้นยอด ข้าวหอมมะลิชั้นดีที่ทั้งหอมทั้งอร่อย และเนื้อวากิวชั้นเยี่ยม
สุรินทร์เลี้ยงวัวประมาณหกแสนตัว ซึ่งมากที่สุดในประเทศ ต่อมาทางกลุ่มผู้เลี้ยงวัว 5 กลุ่มวิสาหกิจชุมชนตัวกันภายใต้ชื่อ ‘สุรินทร์กิว’ เพื่อพัฒนาคุณภาพวัว จากการเลี้ยงวัวพันธุ์ทั่ว ๆ ไป มาผลิตเนื้อที่มีคุณภาพเทียบเคียงเนื้อวากิว A4-A5 และเนื้อเกรดดีของญี่ปุ่น และวันนี้กลุ่มสุรินทร์กิวขยายใหญ่ขึ้น ดึงเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมได้แล้วกว่า 18 กลุ่ม
ผมมองว่านี่คือศักยภาพที่ต้องช่วยผลักดัน จึงฝากกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุน ผลักดัน และต่อยอดตรงนี้ ขึ้นทะเบียน GI ให้เนื้อวัวสุรินทร์เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาราคาวัวต่ำในระยะยาว พร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องชาวสุรินทร์ด้วย โดยในระยะสั้นอาจต้องเร่งเจรจาหาตลาดส่งออกวัว ทั้งจีน และตะวันออกกลาง เพื่อแก้ปัญหาวัวราคาตกต่ำอย่างเร่งด่วนครับ
ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อนายกฯ เดินทางมาถึงโรงเรียนรัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้เดินทักทายประชาชน ข้าราชการ และนักเรียนโรงเรียนรัตนบุรีที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่าง ๆ ของจ.สุรินทร์ เช่น ผ้าไหม เนื้อวัวคุณภาพดี (โควากิว) และผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน โดยนายกฯ ได้สอบถามถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วยความสนใจและได้ชิมเนื้อโควากิวด้วย ก่อนเข้าร่วมประชุมหารือแผนพัฒนาจังหวัดสุรินทร์
โดยนายกฯ ได้รับชมวิดีทัศน์แนะนำจังหวัดสุรินทร์และรับฟังการนำเสนอศักยภาพ/ประเด็นความต้องการของ จ.สุรินทร์ ดังนี้ 1) การพัฒนาเพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำทั้งในระยะเร่งด่วน (จำนวน 4 โครงการ คือ (1) โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว บ้านสร้างบก ตำบลหนองบัวบาน อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ (2) โครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำหนองกระทุ่ม พร้อมอาคารประกอบ ต.ชุมพลบุรี อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ (3) โครงการขุดลอกอ่างเก็บห้วยเสนง บ้านตามีย์ ต.เฉนียง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ (4) โครงการขุดอ่างเก็บน้ำอำปึล บ้านใต้ฆ้อง ต.ตาอ็อง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ และระยะยาว (โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำห้วยเสนงและอำปึล) 2) การพัฒนาด่านพรมแดนช่องจอม 3) การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสนามบินสุรินทร์ และ 4) การพัฒนาและยกระดับสินค้าปศุสัตว์มูลค่าสูง (แนวทางเลี้ยงโคสายพันธุ์ “สุรินทร์กิว” (โควากิว)) ขอให้รัฐบาลดูแลแก้ไขเรื่องราคาเนื้อตกต่ำ และหาตลาดในต่างประเทศที่่มีศักยภาพรองรับ รวมถึงการทำโรงฆ่าสัตว์ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามหลักสากล และการหาแหล่งเงินดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น รวมทั้งรับฟังแนวทางการแก้ปัญหายาเสพติดในพื้นที่ จ.สุรินทร์อย่างเป็นระบบด้วย
โฆษกรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางเลี้ยงโคสายพันธุ์ “สุรินทร์กิว” (โควากิว) นั้น นายกฯ เห็นว่ามี 2-3 เรื่องที่ต้องมาดูกัน ทั้งเรื่องของการดำเนินการครบวงจร การพัฒนาสายพันธุ์ซึ่งก็ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่งแล้ว โดยมองว่าเนื้อวากิวเองตัวหนึ่งกำไรถึง 4-5 หมื่นบาท ซึ่งในระยะยาวหากสามารถพัฒนาสายพันธุ์ดีขึ้นได้ก็จะทำให้ราคาสูงขึ้น ดังนั้นการพัฒนาสายพันธุ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อเรามีของที่ดีอยู่แล้วอย่าไปคำนึงเพียงแค่กำไรระยะสั้น มองว่าเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง แต่ขอให้คำนึงถึงเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าด้วย รวมถึงเรื่องการพัฒนาเรื่องการตัดแต่งปรุงเนื้อเพื่อให้ขายแล้วได้กำไรมาถึงพี่น้องประชาชนได้สูงขึ้น ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องหาทางสนับสนุนให้มีโรงเชือดที่มากขึ้นรองรับ ส่วนเรื่องของตลาดรองรับมีอยู่แล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น จีน และ Middle East ทั้งนี้การที่เรามีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมถึงเรื่องแลนด์บริดจ์รองรับก็จะเป็นกำลังสำคัญในการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ทั้งจีน และ Middle East โดยขอให้กระทรวงพาณิชย์ ผลักดันให้เนื้อสุรินทร์กิว ได้รับการรับรองให้เป็นสินค้า GI ประจำจังหวัดสุรินทร์ด้วย