กรมทรัพย์สินทางปัญญาเปิดลิสต์สินค้า GI ที่ทำรายได้จากการส่งออกสูงสุดและสร้างรายได้ในประเทศสูงสุด 10 อันดับแรก ในปี 66 พบ”ทุเรียนหมอนทองระยอง” นำโด่งส่งออก ตามด้วยทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา ส่วนในประเทศ ทุเรียนหมอนทองระยอง ก็ครองแชมป์
น.ส.กนิษฐา กังสวนิช รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า สินค้า GI ที่ส่งออกเป็นผลไม้ทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลไม้ไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วโลก แต่การเป็นสินค้า GI ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ ส่วนสินค้า GI ที่มียอดขายในประเทศสูงสุด ส่วนใหญ่เป็นผลไม้และสินค้าเกษตร
ทั้งนี้ สินค้า GI ที่ “ครองแชมป์” และ “รองแชมป์” ทั้งส่งออกและขายในประเทศ เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน คือ ทุเรียนหมอนทองระยอง และอันดับที่ 2 ก็ยังเป็นสินค้าเดียวกัน คือ ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา
สำหรับสินค้า GI ที่ยังมีมูลค่าส่งออกน้อย น.ส.กนิษฐา บอกว่า กรมจะร่วมมือกับ “ทูตพาณิชย์ไทย” ในต่างประเทศ และ “พาณิชย์จังหวัด” ทั่วประเทศ ร่วมมือกันทำตลาดและหาตลาดใหม่ ๆ ให้กับสินค้า GI รวมทั้งจะทำระบบตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพมาตรฐาน และเดินหน้าส่งเสริมให้มีการขึ้นทะเบียน GI รายการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ล่าสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้เจาะลึกสถิติ “การส่งออก-การขายในประเทศ” ของสินค้าที่ GI ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ “เห็นภาพ” สินค้า GI ตัวไหนโดดเด่น สินค้า GI ตัวไหนมีอนาคต และสินค้า GI ตัวไหนที่จะต้องเร่งส่งเสริมและผลักดันเพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้า GI ที่ส่งออกและทำเงินเข้าประเทศได้มาก 10 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ทุเรียนหมอนทองระยอง เป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง มีมูลค่า 15,645 ล้านบาท มีตลาดสำคัญ คือ จีน
อันดับ 2 ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา มูลค่า 4,890.2 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ จีน และมาเลเซีย
อันดับ 3 มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี มูลค่า 285 ล้านบาท ตลาดส่งออก คือ จีน สหรัฐฯ แคนาดา และฝรั่งเศส
อันดับ 4 มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว 107 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ ฮ่องกง
อันดับ 5 มังคุดทิพย์พังงา มูลค่า 80.12 ล้านบาท ตลาด คือ จีน และเวียดนาม
อันดับ 6 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า (จ.ฉะเชิงเทรา) มูลค่า 35 ล้านบาท ตลาดเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
อันดับ 7 กล้วยหอมทองเพชรบุรี มูลค่า 24 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น
อันดับ 8 ส้มโอท่าข่อยเมืองพิจิตร มูลค่า 10.4 ล้านบาท ตลาดจีน
อันดับ 9 กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก มูลค่า 10 ล้านบาท ตลาดซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย ตุรกี บรูไน มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์
อันดับ 10 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก มูลค่า 9.45 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และรัสเซีย
ส่วนสินค้า GI ที่ขายดีและทำรายได้สูงสุดสำหรับตลาดในประเทศ 10 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ทุเรียนหมอนทองระยอง มูลค่า 20,530.8 ล้านบาท
อันดับ 2 ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา มูลค่า 6,661.2 ล้านบาท
อันดับ 3 น้ำตาลโตนดเมืองเพชร มูลค่า 4,813 ล้านบาท
อันดับ 4 กล้วยหอมทองปทุม มูลค่า 3,268 ล้านบาท
อันดับ 5 มะนาวเพชรบุรี มูลค่า 3,061.4 ล้านบาท
อันดับ 6 กุ้งก้ามกรามบางแพ (จ.ราชบุรี) มูลค่า 2,570 ล้านบาท
อันดับ 7 ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ มูลค่า 2,360.5 ล้านบาท
อันดับ 8 ข้าวหอมมะลิพะเยา มูลค่า 1,969.7 ล้านบาท
อันดับ 9 ปลากะพงสามน้ำทะเลสาบสงขลา มูลค่า 1,579.2 ล้านบาท
อันดับ 10 มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว (จ.สมุทรสาคร) มูลค่า 1,460 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะยังคงเดินหน้าส่งเสริม และผลักดันให้สินค้าท้องถิ่น สินค้าอัตลักษณ์ของพื้นที่ต่าง ๆ ขึ้นทะเบียน GI อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมช่องทางการตลาด จากปัจจุบันมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนจีไอในประเทศแล้ว 205 รายการ และขึ้นทะเบียนในต่างประเทศแล้ว 8 รายการ สร้างมูลค่าการตลาดรวมกว่า 71,000 ล้านบาท