นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาไข่ไก่ว่า ได้มีการหารือกับสมาคมผู้เลี้ยงในสัปดาห์นี้ ได้รับการยืนยันว่าผลผลิตไข่ไก่มีปริมาณเพียงพอเฉลี่ยวันละ 43 ล้านฟอง โดยในประเทศมีการบริโภควันละ 41.1 ล้านฟอง ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องขาดแคลนหรือไข่ไม่เพียงพอ แต่ที่มีการปรับราคาในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากหลายสาเหตุ หลักๆคือ 1.ภาวะอากาศร้อนอ้าวในช่วงหน้าร้อน ในเดือนมีนาคม-เมษายน มีผลต่อการเติบโตและน้ำหนักฟองไข่จะลดลง ฟองไข่ขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ ปีนี้ร้อนมากร้อนนาน ทำให้สัดส่วนไข่ออกตลาดจะเป็นขนาดเล็ก เบอร์ 4-5 มากสุด
ประกอบกับต้นทุนการเพาะเลี้ยงสูงขึ้น จากภาวะอากาศ ต้องเพิ่มน้ำเพื่อปรับภาวะอากาศการเลี้ยง และต้นทุนสะสมในหลายด้านสูงขึ้น ทำให้ส่งผลต่อต้นทุนผลิต ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงต้องปรับราคาลดภาระต้นทุน ทำให้ขณะนี้ราคาไข่ไก่คละเฉลี่ยฟองละ 4.14 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนพฤษภาคมปีก่อน โดยหลังจากเข้าฤดูฝนแล้ว ขนาดไข่ที่ออกตลาดก็จะมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งกรมการค้าภายใน และพาณิชย์จังหวัดมีการติดตามใกล้ชิด พร้อมกับขอให้ห้างค้าปลีกมีไข่จำหน่ายในราคาเหมาะสมและเพียงพอ ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2567 เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ทั้งผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย ออกประกาศปรับราคาไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกรขึ้นอีกฟองละ 20 สตางค์ หรือแผงละ 6 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.นี้เป็นต้นไป
นายชาณุวัฒณ์ สิวะโมกข์ รองเลขานุการสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า ระยะนี้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดลดลงเนื่องจากไก่ออกไข่น้อย ปีนี้พลิกผันจากอากาศร้อนจัดเป็นฝนตกชุก ทำให้ไก่เครียดและป่วย เกษตรกรรายย่อยบางรายที่ทำโรงเรือนแบบระบบเปิด ไก่ปรับตัวไม่ทันในช่วงเปลี่ยนฤดูทำให้เป็นหวัด ปริมาณไข่ไก่ในฟาร์มลดลงกว่าครึ่ง (ร้อยละ 50) ส่วนฟาร์มที่เป็นโรงเรือนปิดแบบอีแวปจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดยภาพรวมปริมาณไข่ไก่ในตลาดลดลงประมาณร้อยละ 3-5
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความต้องการบริโภคไข่ไก่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียน ขณะที่ผู้เลี้ยงประสบภาวะต้นทุนอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพดซึ่งเป็นอาหารสำคัญของไก่ราคาสูงขึ้น ซึ่งราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มเป็นฟองละ 4 บาทนี้ จะทำให้ราคาเท่ากับช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปี 2566