พาณิชย์ กำชับห้างขายน้ำตาลราคาเดิม จนสต๊อกเก่าหมด ย้ำดูแลเข้มสินค้าปรับขึ้นราคา ห้ามฉวยโอกาสค้ากำไรเกินควร

กรมการค้าภายในขอความร่วมมือห้างค้าส่ง ค้าปลีก ขายน้ำตาลทรายในราคาเดิมไปจนกว่าสต๊อกเก่าจะหมด และจัดให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการ ส่วนสินค้าที่ใช้น้ำตาลผลิต หากมีการขอปรับขึ้นราคา ต้องดูเป็นรายตัว เหตุสินค้าแต่ละชนิดได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกัน การปรับราคาต้องสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ห้ามฉวยโอกาสค้ากำไรเกินควร
         

653cca1eac038
ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศ เรื่อง ราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำฤดูการผลิตปี 2566/2567 โดยปรับราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานใหม่ น้ำตาลทรายขาวจากเดิมกิโลกรัม (กก.) ละ 19 บาท เป็นราคา กก.ละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จากเดิม กก.ละ 20 บาท เป็น กก. ละ 24 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 66 เป็นต้นไป ว่า กรมการค้าภายในได้ขอความร่วมมือไปยังห้างค้าส่งค้าปลีก ผู้จำหน่ายน้ำตาลทรายทุกราย ให้จำหน่ายน้ำตาลทรายที่มีอยู่ในสต๊อกในราคาเดิมจนกว่าสต๊อกเก่าจะหมด และจัดให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการ และเติมสินค้าบนชั้นวางอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสินค้ามีเพียงพอ ของไม่ขาด
         

ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า กรมจะมีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยสินค้าที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นส่วนผสม แต่ละชนิดมีผลกระทบแตกต่างกัน เพราะใช้น้ำตาลทรายในสัดส่วนที่แตกต่างกัน โดยกรณีเป็นสินค้าควบคุม เช่น นมสด ปลากระป๋อง ถ้าผู้ผลิตจะขอปรับราคา ก็ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป โดยจะดูตามสัดส่วนการใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งผลกระทบจากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนส่วนอื่น ๆ ด้วย เพราะบางสินค้าแม้ต้นทุนน้ำตาลทรายจะเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนอื่น ๆ อาจจะลดลงก็ได้

สำหรับกรณีสินค้าอื่น ๆ เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน การกำหนดราคาหรือปรับราคา ก็ต้องสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งกรมจะติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า การรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนทางสายด่วน 1569 โดยการตรวจสอบจะยึดหลักสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น ทั้งฝ่ายผู้ประกอบการ และผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม กรมฯ เชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่คงไม่อยากที่จะปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค กรณีจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าก็ควรพิจารณาให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุด สุดท้ายขอเน้นย้ำไปยังผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าทุกราย ห้ามฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควร หากพบจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ