สนค.เผย ไพล มีโอกาสเป็นสมุนไพรแชมเปี้ยน แนะรัฐหนุนผลิต แปรรูป หาตลาด

สนค.จับมือ สวทช. ศึกษาวิเคราะห์โอกาสทางการค้าสมุนไพร “ไพล” ของไทย พบสามารถผลักดันให้เป็นสมุนไพรแชมเปี้ยนได้ เหตุนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย และใช้เป็นส่วนผสมหรือวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์อื่น ชี้เป้าจังหวัดเหมาะสมปลูก บึงกาฬ กระบี่ นราธิวาส สุราษฎร์ธานี สระแก้ว และชุมพร แต่รัฐต้องหนุน ทั้งผลิต แปรรูป หาตลาด และช่วยพีอาร์สรรพคุณ  
         

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า สนค. ได้ร่วมกับสายงานอุตสาหกรรมและชุมชน (ICE) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศึกษาวิเคราะห์โอกาสทางการค้าสมุนไพร “ไพล” ซึ่งไพลเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีศักยภาพในการผลักดันให้เป็นสมุนไพรแชมเปี้ยน (Herbal Champion) ตามประกาศของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพราะสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น สารสกัด น้ำมันหอมระเหย เป็นต้น และยังใช้เป็นส่วนผสมหรือวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ตำรับยาประสะไพล ยาหม่องไพล ลูกประคบ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย และเครื่องสำอาง เป็นต้น
         

643621fe6702b
สนค.เผย “ไพล” มีโอกาสเป็นสมุนไพรแชมเปี้ยน

ทั้งนี้ จากการศึกษาโอกาสทางการค้าสำหรับไพล พบว่า มีข้อจำกัดด้านข้อมูล เนื่องจากไพลมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศน้อยมาก ทำให้ไม่มีพิกัดศุลกากรที่เป็นสากล จึงขาดสถิติข้อมูลการค้าระหว่างประเทศที่จะนำมาศึกษาวิเคราะห์ แต่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร เริ่มติดตามมูลค่าการนำเข้าและส่งออกไพลมาตั้งแต่ปี 2559 พบว่า ช่วงปี 2559-2564 ไทยนำเข้าไพลรูปแบบแห้งจากเมียนมา รวม 26,750 กิโลกรัม (26.75 ตัน) เป็นมูลค่า 520,106 บาท และไทยส่งออกไพลในรูปแบบแห้ง แช่เย็น และผง ไปประเทศต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย มีปริมาณรวม 2,171.1 กิโลกรัม (2.17 ตัน) และมีมูลค่าส่งออกรวม 383,102 บาท
         

ส่วนการตรวจสอบระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-map) พบว่า จังหวัดที่มีพื้นที่เหมาะสมในการปลูกไพล เช่น บึงกาฬ กระบี่ นราธิวาส สุราษฎร์ธานี สระแก้ว และชุมพร และจากข้อมูลการขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร พบว่า ในปี 2564 มีการปลูกไพลทั่วประเทศ 169 ไร่ แหล่งผลิตสำคัญอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เชียงใหม่ น่าน สระแก้ว และสกลนคร มีผลผลิตรวม 507 ตัน ลดลงจากปี 2562 และปี 2563 ที่มีปริมาณผลผลิต 1,935 และ 1,539 ตัน ตามลำดับ โดยผลผลิตไพลของไทยยังมีความต้องการใช้ภายในประเทศทั้งหมด เพราะการส่งออกไพลของไทยในช่วงปี 2559-2564 มีปริมาณเพียง 2.17 ตัน ราคาเฉลี่ยไพลสด 12 บาท/กิโลกรัม ไพลแห้ง 100 บาท/กิโลกรัม ไพลผง 150 บาท/กิโลกรัม และน้ำมันหอมระเหย 5,000 บาท/กิโลกรัม

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาสำคัญในการปลูกไพล คือ ไม่ควรปลูกไพลซ้ำที่เดิมติดต่อในปีถัดไป เนื่องจากปัญหาโรคเหง้าและรากเน่า ต้องสลับปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นก่อนการปลูกในฤดูถัดไป และหากต้องการไพลคุณภาพสูงเพื่อนำมาสกัดน้ำมัน ต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ 2 ปี จึงอาจทำให้เกษตรกรขาดรายได้และไม่มีแรงจูงใจในการปลูกไพลให้ได้คุณภาพ ซึ่งภาครัฐต้องให้การส่งเสริมสนับสนุนทั้งด้านการเพาะปลูก การหาตลาด การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการวิจัยและพัฒนา นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณสำหรับศึกษาประสิทธิภาพระดับคลินิก และการต่อยอดผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับไพลให้มากยิ่งขึ้น เช่น การมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย รวมทั้งประโยชน์ด้านสุขภาพและความงาม เพื่อสามารถผลักดันให้ไพลเป็นสมุนไพร Herbal Champion ต่อไป
         

ปัจจุบัน มีหลายจังหวัดท่าภาครัฐให้การส่งเสริม เช่น เชียงใหม่ มีผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์จากไพลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 31 ราย มีการแปรรูปและนำนวัตกรรมมาใช้ อาทิ แผ่นแปะไพล ซึ่งทำการวิจัยและพัฒนา โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ น่าน เกษตรกรมีการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่พืชสมุนไพร ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการจัดการแปลง การเก็บเกี่ยวเพื่อแปรรูป ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด อีกทั้งวิสาหกิจชุมชนได้รับการสนับสนุนโรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์จากภาครัฐ บึงกาฬ ปลูกไพลตามมาตรฐานกรมส่งเสริมการเกษตร ปลูกเป็นระยะเวลา 2 ปีจึงจะเก็บเกี่ยว โดยมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ สินค้าจากไพลเป็นที่ต้องการเนื่องจากใช้เป็นยารักษาโรคเบื้องต้น นราธิวาส เกษตรกรมีการทำสัญญากับโรงพยาบาลรามัน เพื่อส่งมอบไพลปริมาณ 2 ตัน/ปี และราชบุรี มีการรวมกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนแบบแปลงใหญ่สมุนไพร ในพื้นที่ตำบลด่านทับตะโก ปลูกตามมาตรฐาน GAP และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
         

สำหรับสถานการณ์สินค้าไพลในต่างประเทศ มีข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศว่าไพลเป็นที่รู้จักส่วนใหญ่ในประเทศแถบเอเชียที่มีการปลูกไพล เช่น อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม และประเทศแถบแคริบเบียน ก็มีการใช้ไพลในตำรับยาพื้นบ้าน เช่น จาเมกา ตรินิแดดและโตเบโก เกรนาดา และโดมินิกัน แต่ในภาพรวม สนค. พบว่า ไพลยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และบางประเทศไม่ปรากฏข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากไพล ผู้บริโภคขาดความเข้าใจในสินค้า และไพลจัดอยู่ในพืชตระกูลขิง ทำให้ผู้บริโภคมีความสับสนเกี่ยวกับสรรพคุณและการนำมาใช้ประโยชน์ ส่วนช่องทางการจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ สินค้าผลิตภัณฑ์ไพลจากไทย ไม่สามารถพบได้ตามร้านค้าทั่วไป อาจมีจำหน่ายในร้านค้าปลีกสินค้าไทย และช่องทางออนไลน์