นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ให้ความสำคัญกับการผลิตส้มปลอดภัย จึงได้ดำเนินโครงการรณรงค์เฝ้าระวังสารเคมีตกค้างในผลผลิตส้มขึ้นเพื่อส่งเสริมการผลิตและการจัดการสินค้าเกษตรด้วย BCG Model เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรผลิตส้มปลอดภัย ส่งเสริม สนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกส้มดำเนินการจัดการศัตรูพืชด้วยวิธีผสมผสาน รวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์และแมลงศัตรูธรรมชาติ ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) นำเกษตรกรเข้าสู่การควบคุมคุณภาพการเพาะปลูก ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย
โดยมีแนวทางการพัฒนาสนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลด ละ เลิกการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลผลิตทางการเกษตรไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรที่เป็นอันตราย
ล่าสุดกรมส่งเสริมการเกษตร จังหวัดเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย (ไทท้า) และภาคเอกชน ร่วมจัดงานรณรงค์เกษตรกรร่วมใจผลิตส้มปลอดภัย “Safe Use Safe Orange” ขึ้น ณ ที่ทำการสำนักงานกลุ่มเกษตรกรทำไร่โป่งน้ำร้อน ตำบลโป่งน้ำร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกรในพื้นที่ปลูกส้มได้รับทราบวิธีการจัดการพื้นที่ปลูกอย่างปลอดภัย
โดยมีการเสวนาพิเศษ “ชี้ช่องส่องตลาด…ส้มไทย จากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค” โดย ตลาดไท บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด และบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ประธานกลุ่มแปลงใหญ่ส้มสายน้ำผึ้ง
นอกจากนี้ยังจัดให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมงานเข้าฐานเรียนรู้ ดังนี้
1) การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและปลอดภัย
2) ชัวร์ก่อนใช้ เช็คก่อนทิ้ง
3) การป้องกันกำจัดศัตรูส้มโดยวิธีผสมผสาน
4) การจัดการดินและปุ๋ยในสวนส้ม
5) ระบบตรวจรับรองแปลงมาตรฐาน GAP แบบดิจิทัล
6) การใช้โดรนทางการเกษตร
อีกทั้งยังมีการให้บริการตรวจคัดกรองความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและตรวจวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในส้ม
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า ส้มเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศและเป็นที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย หลากหลายสายพันธุ์ มีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 128,046 ไร่ แหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ สุโขทัย กำแพงเพชร แพร่ และจังหวัดเชียงราย มีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ แต่เกษตรกรผู้ปลูกส้มต้องประสบกับปัญหาโรคและแมลงศัตรูส้มรบกวน
ดังนั้น การปลูกและดูแลสวนส้ม เกษตรกรจึงต้องใส่ใจในทุกขั้นตอนและให้ความสำคัญกับปัจจัยที่มีผลต่อการปลูกส้ม คือ ดินต้องเป็นดินร่วน มีความซุยในดินดี น้ำต้องถึงไม่ขาด และการให้ธาตุอาหารที่สมบูรณ์เป็นเรื่องสำคัญ ปุ๋ยที่ให้กับส้มควรมีธาตุอาหารที่ตรงตามความต้องการของส้ม รวมถึงการใช้สารเคมีในป้องกันกำจัดศัตรูพืชในส้ม
หากเกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและปลอดภัย ก็จะอาจก่อให้เกิดสารตกค้างในผลผลิตและเป็นอันตรายต่อตัวเกษตรกร ผู้บริโภค สิ่งแวดล้อมกระทบกับการส่งออกได้
นายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับจังหวัดเชียงใหม่นับเป็นแหล่งปลูกส้มสายน้ำผึ้งที่มีปริมาณผลผลิตมากและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศ ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ปลูกส้มจำนวน 38,029 ไร่ ผลผลิตประมาณ 144,406 ตัน โดยให้ผลผลิตมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ส้มมีรสชาติอร่อยที่สุด และมีสีส้มสวยที่สุด
ในส่วนสถานการณ์การผลิตส้มสายน้ำผึ้งของอำเภอฝาง ปี 2565/66 มีพื้นที่ปลูกส้ม จำนวน 17,939 ไร่เนื้อที่ให้ผลผลิต 16,969 ไร่ ในพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลเวียง ตำบลโป่งน้ำร้อน ตำบลสันทราย ตำบลแม่สูน ตำบลแม่คะ ตำบลแม่งอน ตำบลแม่ข่า และตำบลม่อนปิ่น ซึ่งทั้ง 8 ตำบล ให้ผลผลิตส้มมากกว่า76,360 ตัน ผลผลิตเฉลี่ย 4,500 กิโลกรัมต่อไร่
ลักษณะของผลส้มสายน้ำผึ้งอำเภอฝางจะมีมีผิวสีเหลืองทองอร่ามสวยเมื่อสุกได้ที่ เนื้อแน่นน้ำเยอะ มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ คือ รสจัดจ้าน กลมกล่อม หวานนำอมเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่หวานจืด ชานนิ่ม ดินในเขตพื้นที่อำเภอฝาง ค่อนข้างจะมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ เป็นดินแดนสายน้ำแร่ธรรมชาติ แหล่งน้ำมาจากแหล่งน้ำแม่ใจและเป็นดินที่มีแร่ธาตุจากภูเขาไฟ มีน้ำแร่ผสมอยู่ เนื่องจากเป็นเขตภูเขาไฟเดิม อากาศร้อนสลับหนาวในช่วงปลายปีซึ่งเป็นอากาศที่ส้มค่อนข้างชอบ พื้นที่เป็นภูเขาสูง เป็นหุบเขา มีอากาศไหลผ่านหมุนเวียน และมีความชื้นจึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกส้มสายน้ำผึ้งมากที่สุด
ซึ่งขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมเสนอส้มสายน้ำผึ้งโป่งน้ำร้อนฝาง เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI ) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้เพิ่มให้ผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำเกษตรกรให้สำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบการเข้าทำลายของศัตรูพืช ให้จัดการโดยวิธีผสมผสาน (IPM) ได้แก่ 1) วิธีเขตกรรม : การปรับสภาพดิน การตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง
2) วิธีกล : การตัดกิ่งหรือผลที่พบการเข้าทำลายของโรคและแมลงนำไปเผาทำลาย การใช้กับดักกาวเหนียว
3) วิธีฟิสิกส์ : การใช้กับดับแสงไฟล่อตัวเต็มวัยไปทำลาย
4) ชีววิธี : การใช้ศัตรูธรรมชาติ ตัวห้ำ ตัวเบียน จุลินทรีย์ รวมถึงการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติในบริเวณสวนส้ม
5) สารสกัดธรรมชาติ : การใช้สารสะเดา หางไหล
6) สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช : กรณีพบการระบาดของศัตรูพืชค่อนข้างรุนแรงในบริเวณกว้าง โดยใช้สารเคมีตามหลัก 3 ถูก คือ ถูกชนิด ถูกเวลา และถูกวิธี เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่เหมาะสมหรือเฉพาะเจาะจงกับชนิดของศัตรูพืช และสอดคล้องกับแต่ละระยะของส้ม ตามชนิดและอัตราที่แนะนำ เพื่อลดปริมาณศัตรูพืชในพื้นที่นั้น ลดความเสี่ยงต่อคน และรบกวนระบบนิเวศเกษตรและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด
มีการสลับกลุ่มสารเคมี ไม่ใช้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นระยะเวลายาวนาน เพราะส่งผลให้แมลงเกิดการดื้อยา (Insect Pesticide Resistance) ต้องใช้ตามหลักวิชาการที่เจ้าหน้าที่แนะนำ หรือตามฉลากเคมีภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายห้ามใช้สารเคมีที่เป็นวัตถุอันตรายที่ประกาศห้ามใช้ทางการเกษตรโดยเด็ดขาด
สำหรับวิธีการปฏิบัติก่อนการเก็บเกี่ยว
1) การเข้าทำลายของแมลงจะลดลงในระยะส้มผลแก่ จึงควรงดใช้สารเคมี
2) เก็บเกี่ยวผลผลิตในระยะที่ปลอดภัย หรือ เว้นระยะเวลาก่อนการเก็บเกี่ยว ภายหลังการใช้สารเคมี(PHI) ตามคำแนะนำ หรือตามที่ระบุในฉลาก เพื่อลดปัญหาสารเคมีตกค้างในผลผลิต
3) สุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาสารเคมีตกค้างด้วยชุดทดสอบแบบง่ายโดยเจ้าหน้าที่ หรือเกษตรกรสามารถตรวจเองได้