หลังจากที่ “โครงการประกันรายได้” ปีที่ 3 ได้ทยอยจบโครงการไป โดยพืชเกษตร 3 ชนิด คือ ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง เป็นรายการที่ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดโครงการ จะมีก็แต่ข้าวและยางพารา ที่ต้องจ่ายส่วนต่าง ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและยางพารา ตั้งหน้าตั้งตารอว่าโครงการปีที่ 4 จะได้ไปต่อหรือไม่ เพราะเป็น 2 ชนิด ที่ราคายังต่ำกว่าที่ประกันรายได้เอาไว้
โครงการประกันรายได้ข้าว คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้อนุมัติโครงการวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท เป็นเงินสำหรับจ่ายส่วนต่าง เงินสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาท และเงินที่ใช้สำหรับทำมาตรการเสริมเพื่อดึงราคาข้าว
แต่วงเงินดังกล่าว ติดปัญหาเกินเพดานหนี้ ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ต้องมาหาทางออกร่วมกัน
สรุปว่า ต้องหั่นวงเงินลงมา เพื่อไม่ให้เกินเพดานหนี้ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา โดยหั่นวงเงินจ่ายส่วนต่างลงมาจากเดิมประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท เหลือแค่ 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินที่ใช้สำหรับมาตรการคู่ขนาน เช่น เก็บสต๊อก คงเดิม 7.5 พันล้านบาท และเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จใช้เงิน 8.1 หมื่นล้านบาท ไม่มาก ไม่น้อย ไม่เกินเพดานหนี้
ในที่สุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้อนุมัติ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2565 และให้จ่ายเงินส่วนต่างย้อนไปตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.2565 และจนถึงปัจจุบันนี้ มีการจ่ายส่วนต่างมาแล้ว 12 งวด เป็นโครงการประกันรายได้ข้าวปีที่ 4 ที่ต้องลุ้น และตื่นเต้นมาโดยตลอดว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เกษตรกรจะได้เงินส่วนต่างและเงินช่วยเหลือไร่ละ1,000 หรือไม่ แต่ในที่สุด ก็ผ่านฉลุย
ส่วนโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง อยู่ระหว่างการนำเสนอ ครม. แต่ผ่านเมื่อใด ไม่ใช่ปัญหา เพราะขณะนี้ทั้ง 3 รายการ ราคาเกินเพดานที่ประกันรายได้เอาไว้ทุกตัว ยกเว้นเพียงยางพารา ที่ยังต้องติดตามว่าจะเข้าได้เมื่อไหร่เพราะเป็นส่วนที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบ
ปีทองผลไม้ไทย
ปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ผลผลิตผลไม้มีปริมาณมากถึง 5.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11% ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มังคุด ลำไย เงาะ ลิ้นจี่ ลองกอง มะม่วง
ด้านกระทรวงพาณิชย์ ได้เตรียมมาตรการรับมือผลไม้เชิงรุกปี 2565 จำนวนรวม 18 มาตรการ ทั้งการทำตลาดในประเทศ เช่น จัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภค ขายผ่านห้าง ตลาด รถเร่ ร้านอาหาร นำแปรรูป และเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้าผ่านอมก๋อย โมเดล และทำตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการผลักดันการส่งออกไปจีน ซึ่งเป็นตลาดหลัก โดยใช้การขนส่งทางเรือ แทนทางบก ซึ่งมีปัญหาในเรื่องซีโร่ โควิด และทางอากาศ แต่ยังไม่ทิ้งทางบก ทำให้การส่งออกผลไม้ไปจีน ไม่มีปัญหาติดขัด
ขณะเดียวกัน ได้ตั้งวอร์รูมติดตามปัญหาอุปสรรค หากมีจะได้เร่งแก้ไข และยังได้จัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภคผลไม้ในจีน จัดเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผลไม้ร่วมกับผู้นำเข้า ห้าง และช่องทางออนไลน์ จัดกิจกรรมในงานแสดงสินค้า จนทำให้ราคาผลไม้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งออกข้าว ปี 65
ปี 2565 เห็นแนวโน้มการส่งออกข้าวของไทย จะพลิกฟื้นกลับมา โดยคาดว่าทั้งปี จะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านตัน หรือมากกว่า เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ทำได้ปริมาณ 6.11 ล้านตัน และปี 2563 ที่ทำได้แค่ 5.72 ล้านตัน ซึ่งทำสถิติต่ำสุดในรอบ 20 ปีมาแล้ว
การส่งออกข้าวไทยในปี 2565 ที่ทำได้ดี เนื่องจากราคาข้าวไทยแข่งขันได้ดีขึ้น จากผลพวงเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า หันมาสนใจข้าวไทยมากขึ้น และข้าวไทยยังได้เปรียบในแง่คุณภาพและมาตรฐานที่ดีกว่าข้าวของประเทศอื่น ๆ ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการขยายตลาดเชิงรุก ทั้งการสานสัมพันธ์กับคู่ค้าเดิมและคู่ค้าใหม่ การเพิ่มกิจกรรมทำตลาดข้าวไทย การประชาสัมพันธ์ข้าวไทย เรื่อยไปจนการทวงคืนตลาดที่เคยเสียไปอย่างอิรักกลับคืนมาได้
อย่างไรก็ตาม แม้ก่อนสิ้นปี จะมีข่าวไทยเสียแชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกให้กับข้าวของกัมพูชา แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย เพราะผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ยังเชื่อมั่นข้าวไทย ทั้งคุณภาพ มาตรฐาน และการส่งมอบ ทำให้มีการสั่งซื้อข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแค่นั้น กระทรวงพาณิชย์ยังได้ผลักดันยุทธศาสตร์ข้าวไทย ตั้งเป้าไว้ 5 ปี (2563-67) จะต้องมีพันธุ์ข้าวใหม่ไม่น้อยกว่า 12 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ตลาดต้องการ ทั้งข้าวพื้นนิ่ม พื้นแข็ง ข้าวหอมมะลิ และข้าวโภชนาการสูง แต่ปัจจุบันทำได้แล้ว 6 สายพันธุ์ คาดว่าภายในต้นปี 2566 จะมีเพิ่มอีก 6 สายพันธุ์ ทำได้สำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และน่าจะช่วยส่งเสริมและผลักดันการส่งออกข้าวไทยได้ดีขึ้นในอนาคต เมื่อข้าวสายพันธุ์ใหม่ นำปลูกลงแปลงนา และขายในเชิงพาณิชย์ได้
ถือได้ว่า การส่งออกข้าวไทยในปี 2565 ทำได้กว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาดีเลยทีเดียว
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์