นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 โดยมีปลัดกระทรวง ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สภาการแพทย์แผนไทย กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมการประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้นำเสนอผลการดำเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาสมุนไพรไทย ซึ่งอยู่ภายใต้แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560 – 2565 โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินงานร่วมกัน ทำให้ประเทศไทยมีการส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 12,211 ล้านบาท มีขนาดตลาดสมุนไพรหรือมูลค่าการบริโภค เฉลี่ย46,916.44 ล้านบาท แต่ในปี 2563 ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค (COVID-19) ทำให้ได้รับผลกระทบ มูลค่าการบริโภคลดลงร้อยละ 12.7 และเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้งในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมีทั้งหมด 7 เรื่องได้แก่
1.ให้ความรู้กับเกษตรกร ในเรื่อง GAP/Organic สมุนไพร ทำให้มีพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน จำนวน 67,010 ไร่ เกษตรกร 38,765 ราย เกิดการจับคู่ในเจรจาวัตถุดิบสมุนไพร คุณภาพมากกว่า 170 คู่ มีตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพ จำนวน 1 แห่ง คือ ที่ตลาดไท จังหวัดปทุมธานี สามารถสร้างมูลค่ากว่า 1,388 ล้านบาท
2.ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ยกระดับสถานประกอบการกว่า 377 กิจการ พร้อมอบรมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบกว่า 6,133 ราย ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการด้วยการออกประกาศสิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สำหรับสุราสามทับในการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร
3.ขยายช่องทางการตลาดสมุนไพรทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้มีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า การจับคู่เจรจาธุรกิจ สร้างรายได้กว่า 2,467 ล้านบาท พร้อมยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรและการเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการสมุนไพรผ่านรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรดีเด่นระดับชาติ (Prime Minister Herbal Awards: PMHA) และรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ (Premium Herbal Product: PHP) ทั้งสิ้นกว่า 2,000 รายการ
โดยแบ่งผลิตภัณฑ์เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจ ภาพลักษณ์ที่ดี และสร้างการยอมรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
4.สนับสนุนลงทุนเพื่อการวิจัยและนวัตกรรม เพิ่มขึ้น 2,048.8 ล้านบาท มีโครงการวิจัยพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร กว่า 1,295 โครงการ
5.วิจัยส่งเสริมการใช้สมุนไพร ทำให้ปัจจุบันมีรายการยาสมุนไพรได้รับการบรรจุเข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรเพิ่มขึ้น 14 รายการ และมีการสั่งใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสาธารณสุข มากกว่า 95.68 ล้านครั้ง
6.พัฒนาต่อยอดสมุนไพรแชมเปี้ยน 12 รายการ มีผลงานวิจัยมากกว่า 141 โครงการ เพิ่มมูลค่าการส่งออกกว่า 6,600 ล้านบาท
และ 7. พัฒนา 14 จังหวัดให้เป็นเมืองสมุนไพรแบบครบวงจร ทั้งการปลูก การแปรรูปและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ทำให้เกิดสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้เกษตรกรและการท่องเที่ยวของจังหวัด สร้างมูลค่าการตลาดสมุนไพรสะสมในระดับพื้นที่มากกว่า 8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ผลการดำเนินงานทั้ง 4 ยุทธศาสตร์ ภายใต้แผนการปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560 – 2565 (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 และข้อคิดเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำไปใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจของคณะกรรมการนโยบายฯ ทั้ง 5 คณะต่อไป