ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ Kick off โครงการบูรณาการทดลองร่วมกันระหว่างภาคเอกชนกับเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา และการซื้อขายน้ำยาง EUDR ณ โรงงานน้ำยางข้น สหกรณ์การเกษตรจะนะ จำกัด ต.ตลิ่งชัน อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้เรื่องโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา และมาตรการ EUDR (EU Deforestation-free Products Regulation) น้ำยางสด โดยมี นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตลอดจน ผู้บริหารภาครัฐ ภาคการเกษตร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการยาง เข้าร่วม
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายพัฒนาทรัพยากรเกษตรให้ยั่งยืน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่ยางพาราไทย โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่สวนยางในหลายจังหวัดภาคใต้ของไทย จึงได้มอบหมายให้ กยท. เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง อาทิ การให้ความรู้ การแจกจ่ายชีวภัณฑ์เพื่อลดความรุนแรงของโรค ตลอดจนการพัฒนาอาชีพเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด คือการบูรณาการร่วมมือกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อศึกษาหาแนวทางทดลองเพื่อให้ได้กรรมวิธีที่เหมาะสมในการจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่นี้ เชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายผนึกความร่วมมือกันจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการยกระดับผลผลิตยางพาราให้ตรงตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อยางหรือตลาดโลกต้องการ โดยในเดือนธันวาคม 2567 นี้ จะเริ่มมีการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ของสหภาพยุโรป (อียู) โดย กยท. ได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า เช่น ผลักดันให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและผู้ประกอบกิจการยางพาราไทย มีการจัดการข้อมูลยางพาราอย่างเป็นระบบ รองรับกฎระเบียบ EUDR เพื่อให้ไม่เป็นอุปสรรคกับชาวสวนยาง และตลอดจนเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้เกษตรกรตื่นตัว เป็นโอกาสที่ดีช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระดับโลกต่อไป
ขณะเดียวกัน กยท. ได้จัดเตรียมระบบข้อมูลยางพาราไทยให้เป็นไปตามเงื่อนไข ทั้งระบบลงทะเบียนเกษตรกรที่จะต้องใช้เป็นพื้นฐาน รองรับกฎระเบียบ EUDR ซึ่งการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (RAOT GIS) ของ กยท. เป็นอีกหนึ่งระบบที่ได้รับการรองรับตามกฎระเบียบ EUDR ในขณะนี้
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า กยท. ขับเคลื่อนการบริหารจัดการยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่ต้นน้ำ โดยบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา (ใบจุดกลม Colletotrichum) อย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา กยท. ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมาโดยตลอด อาทิ การจัดหาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดและยับยั้งเชื้อรา (เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังไม่เกิดการระบาดมาก) ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เกษตรกรและส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรด้วยการปรับเปลี่ยนพืชในพื้นที่ที่ระบาดรุนแรง และประสานงานกับกรมวิชาการเกษตรในการขยายพันธุ์และขนย้ายกล้ายางที่ปลอดโรค และวิจัยเพื่อพัฒนาพันธุ์ยางต้านทานโรค รวมไปถึงการทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ ในแปลงของเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบโรคฯ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2565 ทำให้แนวโน้มความรุนแรงของโรคฯ ลดลง และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
โดยข้อมูลล่าสุด (มิถุนายน 2567) มีพื้นที่สวนยางได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคฯ จำนวน 28,840 ไร่ ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ประมาณละ 97 สำหรับโครงการบูรณาการฯ นี้ เป็นอีกก้าวของการพัฒนาชีวภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดโรค ซึ่ง กยท. ได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนร่วมกันทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ และสารอื่นๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นเวทีที่ทุกภาคส่วนได้มาบูรณาการทดลองร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยมีผู้ประกอบการจากภาคเอกชนเข้าร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์จำนวน 12 บริษัท ในพื้นที่สวนยางของตัวแทนเกษตรกรจังหวัดสงขลาจำนวน 24 แปลง
นายณกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในวันเดียวกันนี้ กยท. ประเดิมซื้อขายน้ำยางสดที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มา (เป็นไปตามกฎระเบียบ EUDR) ผ่านตลาดกลาง กยท. 2 แห่ง มีปริมาณน้ำยางสดรวมกว่า 138,000 กิโลกรัม โดยวันนี้ราคาน้ำยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ สูงสุดที่ 78 บาท/กก. คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 10.5 ล้านบาท ถือเป็นการซื้อขายน้ำยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ครั้งแรกในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ กยท. ได้เปิดตลาดซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 และยางก้อนถ้วยที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ ผ่านการประมูลด้วยระบบ TRT ดังนั้นการ Kick Off ในวันนี้ จึงแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการจัดการข้อมูลยางพาราและระบบการซื้อขายยางผ่านตลาดกลางของ กยท. ที่มีมาตรฐาน พร้อมรองรับความต้องการยาง EUDR ของตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต