“เกษตรกรเมืองน่าน” รายได้งาม ปลูกพืชเก็บเมล็ดพันธุ์รายได้หลักแสนต่อปี

เกษตรกรหลายสิบชีวิตที่บ้านห้วยส้อและบ้านเด่นพัฒนา ต.เปือ อ.เชียงกลาง จ.น่าน มีรายได้ปีละหลายแสนบาท จากการปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อขายเมล็ดพันธุ์ให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่น่าพอใจแก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก

นายทวี ชัยพิมพา เกษตรกรบ้านห้วยส้อ เล่าว่า ในอดีตบ้านห้วยส้อ และบ้านเด่นพัฒนา ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำน่าน แม้จะมีอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้าน “อ่างเก็บน้ำห้วยหมื่น” (อ่างเก็บน้ำห้วยส้อ) แต่บางช่วงก็มีปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะลำเมืองส่งน้ำเป็นดิน ทำให้น้ำไหลไม่สะดวก

แต่พอสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เข้ามาช่วยแก้ปัญหาทำลำเหมือง โดยทำเป็นคอนกรีต น้ำจึงไหลสะดวกขึ้น มีน้ำทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี

312452779 5675786852460489 394343602938114280 n
ฟักทอง

“ชุมชนแถวนี้ส่วนใหญ่ทำเมล็ดพันธุ์เป็นอาชีพหลัก สมัยก่อนน้ำขาดแคลนช่วงหน้าแล้ง ก็ทำให้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ บางครั้งเสียหายบ้าง แต่พอมีโครงการฝ่าวิกฤติฯ มาช่วยซ่อมแซมแหล่งน้ำ ก็สะดวกขึ้นเยอะ ไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะแล้งหรือเปล่า ตอนนี้ก็มีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี”

ทั้งนี้“น่าน”เป็น 1 ใน 9 จังหวัด พื้นที่ต้นแบบที่สถาบันฯ ปิดทองหลังพระฯ เข้าไปดำเนินโครงการฝ่าวิกฤติด้วยเศรษฐกิจและสังคมฐานรากให้พัฒนาก้าวไปตามแนวพระราชดำริ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระหว่างเดือนตุลาคม 2563 ถึงพฤษภาคม 2564 โดยร่วมกับชุมชน พัฒนา ปรับปรุง ซ่อมเสริมแหล่งน้ำ ให้ใช้การได้ดี

“ผมทำเมล็ดพันธุ์ส่งให้บริษัทเอกชน มีทั้งแตงร้าน มะระขี้นก ฟักทอง พริก และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้เงินดีกว่าทำนาเสียอีก เพราะบริษัทประกันราคาให้ เป็นการทำเกษตรแบบพันธสัญญา ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำแบบเดียวกันนี้ พืชแต่ละชนิดล้วนเป็นพืชอายุสั้น 3 เดือน ก็เก็บผลผลิตได้แล้ว ผมเองปลูกพืชหลายชนิด ในพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่ ปี 2564 รวมรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือประมาณ 350,000 บาท” นายทวีกล่าว

สำหรับพื้นที่ทำกินของเขา 10 ไร่นั้น 6 ไร่ เป็นพื้นที่ของตัวเอง ปลูกข้าวเหนียวไว้กิน ส่วนพื้นที่เช่า 4 ไร่ ปลูกพืชเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ ตอนนี้กำลังจะทำแปลงปลูกฟักทอง ใช้เวลาปลูก 3 เดือนก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้

นายทวี บอกว่า ในการปลูกพืชแต่ละชนิดนั้น ทางบริษัทที่เป็นคู่สัญญาจะนำเมล็ดพันธุ์มาให้ รวมทั้งปุ๋ยเคมีและอื่น ๆ ตามที่เกษตรกรร้องขอ หลังจากนั้นเมื่อขายผลผลิตได้ ทางบริษัทจะหักต้นทุนไว้

นายทวี ให้ข้อมูลด้วยว่า การปลูกฟักทองไม่ยาก โดยบริษัทนำต้นกล้าพันธุ์มาให้สูงประมาณ 30-40 เซ็นติเมตร ช่วงแรกใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 พอผลใหญ่ใช้สูตร 13-13-21 เพื่อให้เมล็ดมีน้ำหนัก ไม่ให้เมล็ดลีบ อย่างไรก็ตามหลังจากปุ๋ยเคมีราคาแพง ทางกลุ่มเกษตรกรก็พูดคุยกันว่าจะเลิกใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำขึ้นเอง ซึ่งเริ่มใช้กันมาเกือบปีแล้ว เป็นพวกน้ำหมักและฮอร์โมนต่าง ๆ ในส่วนของฟักทองที่ปลูก 4 ไร่ ในปีนี้ หักลบต้นทุนแล้ว เหลือ 2 แสนกว่าบาท โดยปลูกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เก็บผลผลิตได้จนถึงเดือนมีนาคม 2565 เพราะเก็บได้หลายรุ่น รวมน้ำหนักเมล็ดพันธุ์ 250 กิโลกรัม ทางบริษัทรับซื้อกิโลกรัมละ 1,110 บาท

ส่วนมะระขี้นก ปลูกเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นมะระขี้นกฟิลิปปินส์ พันธุ์ลูกใหญ่ เดิมบริษัทตั้งราคารับซื้อเมล็ดพันธุ์กิโลกรัมละ 1,050 บาท แต่ปีนี้ให้ราคาเพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 1,300 บาท เนื่องจากราคาปุ๋ยเคมีแพงขึ้น

นายทวี บอกเคล็ดลับทิ้งท้ายว่า การปลูกพืชเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ ต้องดูแลใส่ใจ ฉีดพ่นยาไล่แมลง กำจัดโรคพืช ใส่ปุ๋ย แต่ไม่ได้ทำทุกวัน สัปดาห์หนึ่งถึงจะเข้าไปพ่นฮอร์โมนกำจัดเชื้อรา แม้จะใช้เวลาในการดูแลไม่เยอะแต่ต้องเอาใจ รับรองว่าผลผลิตออกมาได้ดั่งใจแน่นอน

นับเป็นเกษตรกรอีกรายหนึ่ง ที่ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ ทำให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้หลักหลายแสนบาทต่อปี