ปุ๋ยหมักรักษ์โลก ลดหมอกควัน ฝุ่นละออง PM 2.5

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในช่วงปลายฤดูหนาวรอยต่อไปสู่ฤดูร้อน ในช่วงเดือน พฤศจิกายน – มีนาคม ของทุก ๆ ปีบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยจะต้องประสบกับปัญหาเรื่องภาวะหมอกควันพิษ หรือที่เรารู้จักกันทั่ว ๆ ไปว่า ฝุ่นละออง PM 2.5 (PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กมีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หากมีปริมาณมากเกินค่ามาตรฐาน คือ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ที่สูดดมรับฝุ่นชนิดนี้เข้าไป)

Learning 2 2 clip image001
ปุ๋ยหมัก

ซึ่งหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานส่วนกลางทุกกระทรวง ทบวง กรม หรือ แม้แต่ องค์การบริหารในระดับพื้นที่ ต่างก็เร่งจัดมาตรฐานป้องกัน แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ในส่วนของ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)หรือที่เรารู้จักกันทั่วไป ว่า สวพส. ก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันและแก้ไข รวมทั้งป้องกันการเกิดฝุ่นละออง  PM 2.5  โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สูง(มีระดับความสูงมากกว่า 500 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง : 500 msl) ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชที่ปลอดภัยในระบบเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมาย การส่งเสริมการปลูกที่สร้างรายได้และคลุมหน้าดิน ป้องกันการพังทลายหน้าดิน ฯลฯ และแนวทางหนึ่งที่ สวพส.นำมาใช้และได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีก็คือการผลิตปุ๋ยหมักอย่างง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็น

1) การนำเศษพืชที่มีปริมาณมากที่เหลือทิ้งจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรเกษตร เช่น ซังข้าวโพด เปลือกถั่วและ ฟางข้าว มาเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกองอย่างง่าย หมักทิ้งไว้ไม่ถึง 60 วันก็ได้ปุ๋ยหมักนำไปใช้ในแปลงปลูกพืชแล้ว ไม่ต้องเผาให้เสียเวลา แต่กลับได้คุณค่า และเพิ่มมูลค่าให้กับพืชที่ปลูกได้อีกด้วย

2) การทำแนวคันปุ๋ยตามระดับไหล่เขา พูดกันง่าย ๆ ก็คือนำเศษพืชที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณพื้นที่ลาดชัน เอามากองๆรวมไว้เป็นแนวยาวเป็นเส้นยาวตามแนวระดับพื้นที่ และนำมูลสัตว์ที่หาได้ในพื้นที่มาโรยคลุกกับกองเศษพืชที่ทำไว้เพียงเท่านี้ก็จะได้แนวคันปุ๋ยตามเส้นระดับพื้นที่ เป็นการผลิตปุ๋ยอย่างง่ายรวดเร็ว และหากทำต่อเนื่องเป็นประจำทุก ๆ ปีพื้นที่ที่เป็นแนวคันปุ๋ยนี้ก็จะมีขนาดกว้างมากขึ้น มีความอุดมสมบูรณ์ของดินมากขึ้น สามารถปลูกพืชให้เจริญเติบโตได้และเป็นการลดการชะล้างพังทะลายของดินบนพื้นที่ลาดชันได้อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเดิมทีชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทำการเกษตรมักจะใช้วิธีการกำจัดเศษวัชพืชเหลือใช้ด้วยวิธีการเผาเหตุเพราะไม่รู้ว่าจะกำจัดอย่างไร อีกทั้งการเผาเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก ประหยัด และรวดเร็ว แต่ในระยะหลังหลายหน่วยงานได้เข้ามารณรงค์ไม่ให้มีการเผา เพราะการเผาเป็นสาเหตุก่อให้เกิดมลพิษหมอกควัน ฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน  และให้รณรงค์ให้ชาวบ้านหันมาใช้วีธีทำปุ๋ยหมัก

ซึ่งปุ๋ยหมัก ก็คือ ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ได้มาจากการนำเอาเศษซากพืช เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด ต้นถั่วต่าง ๆ หญ้าแห้ง ผักตบชวา ของเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนขยะมูลฝอยตามบ้านเรือนมาหมักร่วมกับมูลสัตว์ ปุ๋ยเคมีหรือสารเร่งจุลินทรีย์ เมื่อหมักโดยใช้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว เศษพืชจะเปลี่ยนสภาพจากของเดิมเป็นผงเปื่อยยุ่ยสีน้ำตาลปนดำนำไปใส่ในไร่นาหรือพืชสวน เช่น ไม้ผล พืชผัก หรือไม้ดอกไม้ประดับได้

นอกจาก ปุ๋ยหมัก จะช่วยในการลดมลพิษแล้ว ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก ยังมีหลายประการ

1.ช่วยเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุให้แก่ดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์

2.ช่วยเปลี่ยนสภาพของดินจากดินเหนียวหรือดินทรายให้เป็นดินร่วนทำให้สะดวกในการไถพรวน

3.ช่วยสงวนรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ดีขึ้น

4.ทำให้การถ่ายเทอากาศในดินได้ดี

5.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยเคมีและสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้

6.ช่วยกระตุ้นให้ธาตุอาหารพืชบางอย่างในดินที่ละลายน้ำยาก ให้ละลายน้ำง่ายเป็นอาหารแก่พืชได้ดีขึ้น

7.ไม่เป็นอันตรายต่อดินแม้จะใช้ในปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันนาน ๆ

8.ช่วยปรับสภาพแวดล้อม เช่น กำจัดขยะมูลฝอยและวัชพืชน้ำทั้งหลายให้หมดไป

ที่มา- สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)