ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ด้วยระบบน้ำนิ่ง ปลูกง่าย ประหยัดพื้นที่ ตลาดนิยม

การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ด้วยระบบน้ำนิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถทำได้ง่าย ประหยัดพื้นที่ และไม่จำเป็นต้องใช้ดิน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผักเองที่บ้านและใช้พื้นที่น้อย ซึ่งระบบนี้ใช้หลักการให้น้ำและสารอาหารโดยตรงแก่รากของพืช ผ่านทางน้ำที่อยู่ในภาชนะ ทำให้วิธีนี้สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้ดี และยังเป็นวิธีการที่ปลอดภัยต่อสุขภาพอีกด้วย

1 .เพาะเมล็ดในที่มืด เริ่มต้นโดยการเพาะเมล็ดในห้องมืดประมาณ 2 คืน โดยควรเพาะในช่วงหลัง 4 โมงเย็น นวดฟองน้ำให้ชุ่มด้วยน้ำเพื่อใช้ในการเพาะเมล็ด ใส่เมล็ดลงในฟองน้ำเพียง 1 เมล็ดต่อหลุม โดยให้เมล็ดอยู่ระดับเดียวกับผิวของฟองน้ำ จากนั้นฉีดสเปรย์น้ำให้ทั่วฟองน้ำ แล้วเก็บในห้องมืดไว้ 2 คืน

2.ตากแดดยามเช้า นำฟองน้ำที่เพาะเมล็ดออกมาตากแดดช่วงเช้าประมาณ 5 วัน ในระหว่างนี้ควรฉีดสเปรย์น้ำให้ชุ่มทั่วฟองน้ำ และเติมน้ำลงในถาดให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งหนึ่งของฟองน้ำเสมอ

3.ปลูกต้นกล้าและเติมปุ๋ย เตรียมน้ำผสมปุ๋ยลงในภาชนะปลูกต้นกล้าล่วงหน้าประมาณ 1 วัน โดยใช้ปุ๋ย A และปุ๋ย B ในปริมาณที่เท่ากัน เมื่อพร้อมแล้วให้เสียบต้นกล้าลงในฟองน้ำ โดยให้รากต้นกล้าสัมผัสน้ำให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันฟองน้ำต้องสัมผัสน้ำเพียงเล็กน้อยเมื่อวางลงในภาชนะปลูก

4.เติมน้ำระหว่างการเจริญเติบโต หลังจากปลูกต้นกล้าประมาณ 25 วัน น้ำในภาชนะจะลดลง ควรเติมน้ำเปล่าจนถึงระดับครึ่งของภาชนะ และก่อนเก็บเกี่ยว 2 วัน ให้ดูดน้ำออกให้หมด แล้วเติมเฉพาะน้ำเปล่าในภาชนะ

5.การเก็บเกี่ยวผัก ควรเก็บเกี่ยวผักในวันที่มีแดด และเก็บเกี่ยวในช่วงบ่าย เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณไนเตรทในผักลดลง การเก็บผักในช่วงแดดจัดจะช่วยให้พืชใช้ประโยชน์จากไนเตรทได้มากขึ้น

473546237 2630221820497852 6422247855289842222 n

ประโยชน์ของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

การปลูกผักแต่ละแบบก็จะมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป สำหรับประโยชน์ของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้นมีดังนี้

  1. ได้ผักที่มีความสด สะอาดปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าจะมีสารตกค้างในผัก
  2. ได้รับประทานผักสด ๆ ที่มีความหวาน กรอบ ซึ่งช่วยให้มีความสุขกับการรับประทานผักมากขึ้น
  3. การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้นมีรูปแบบให้เลือกปลูกได้หลายระบบ สามารถปลูกได้แม้จะมีพื้นที่ที่จำกัด ที่สำคัญไม่ต้องใช้แรงงานในการเตรียมพื้นที่มากนัก
  4. การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้นใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกผักในดินมากถึง 10 เท่า ทำให้ประหยัดการใช้น้ำ
  5. ใช้เมล็ดพันธุ์ในการเพาะปลูกที่น้อย ไม่เปลืองเมล็ดพันธุ์
  6. ผักบางชนิดมีการเจริญเติบโตที่เร็วกว่าการปลูกในดิน ทำให้ได้กินผักเร็วขึ้น
sansiri content grow hydroponic seedlings

เก็บผักไฮโดรโปนิกส์อย่างไรไม่ให้ขม

หลาย ๆ คนอาจจะมีประสบการณ์ไม่ดีกับการรับประทานผักไฮโดรโปนิกส์ เพราะมีรสชาติที่ขม จนทนรับประทานต่อไม่ไหว สำหรับผักไฮโดรโปนิกส์นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มีรสชาติที่ขม แต่ที่หลายคนกินแล้วรู้สึกขมนั้นเกิดจากการรับประทานผักไฮโดรโปนิกส์ที่มีการเก็บเกี่ยวก่อนถึงช่วงเก็บเกี่ยว หรือปล่อยให้ผักแก่แล้วจึงเก็บเกี่ยวก็จะทำให้ผักนั้นมีรสชาติขม นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวในช่วงที่แดดจัด หรือช่วงที่ให้สารละลายมีความเข้มข้นมาก ผักก็จะมียางเยอะจนทำให้ผักนั้นมีรสชาติขมได้ สำหรับเคล็ดลับการเก็บผักไฮโดรโปนิกส์ไม่ให้ขมนั้นจะต้องเก็บเกี่ยวตามอายุการเก็บเกี่ยว ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 38-45 วัน และควรเก็บในช่วงเช้าหรือเย็น เวลาที่แดดไม่จัด นอกจากนี้การแช่น้ำทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนรับประทานยังช่วยลดรสชาติขมของผักได้อีกด้วย

1507069703

ผักที่นิยมปลูกด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์

ผักที่นิยมปลูกส่วนใหญ่จะเป็นผักสลัด อย่างกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค หรือบัตเตอร์เฮด นอกจากนี้ผักไทยอย่างผักบุ้ง โหระพา ขึ้นฉ่าย และสะระแหน่ สามารถปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ได้เช่นกัน ที่สำคัญยังให้ผลผลิตที่ดีกว่าการปลูกในดินด้วย แต่ก่อนที่จะปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อม ทั้งเมล็ดพันธุ์ ถ้วยปลูก ฟองน้ำ และสารละลาย สำหรับวิธีการปลูกก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียง เพาะกล้าก่อนที่จะนำไปลงในภาชนะปลูก และคอยสำรวจระดับน้ำ พร้อมทั้งเปลี่ยนสารละลายทุก ๆ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้ผักมีการเจริญเติบโตที่ดี