“ว่านหางจระเข้” เป็นพืชล้มลุก ลำต้นสั้น ใบยาวอวบน้ำ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักและมีหนาม ผิวใบสีเขียวและอาจมีรอยกระสีขาว สามารถปลูกได้ง่าย ต้องการน้ำมาก ดินระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขัง จะทำให้รากเน่า ชอบแดดปานกลางถึงจัดปลูกไว้ประจำบ้านนอกจากจะใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามแล้ว ภายในใบว่านหางจระเข้มีวุ้น ซึ่งสามารถรักษาอาการเบื้องต้นของแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกอักเสบ และแผลเรื้อรังในกระเพาะอาหารได้ดี ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางและเครื่องดื่มสุขภาพ
การขยายพันธุ์และการปลูก
“ว่านหางจระเข้ ” ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ ขนาดหน่อสูง 15-20 เซนติเมตร การปลูกในแปลง ควรเตรียมแปลงให้ดินร่วนซุย ชอบดินทราย อาจยกร่องแปลงให้สูงเหนือกว่าระดับดินปกติเพื่อให้ระบายน้ำได้ดีโดยทำแปลงกว้างประมาณ 1 เมตร ตามความยาวของพื้นที่ ขุดหลุมลึก 10-20 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอกเล็กน้อย นำต้นว่านหางจระเข้ลงปลูก ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 70 เซนติเมตร การปลูกในภาชนะใช้ภาชนะขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-12 นิ้ว ส่วนผสมของดินปลูก ดิน 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
การดูแลรักษา
การให้น้ำ “ว่านหางจระเข้ “ควรรดน้ำแบบเป็นฝอยกระจายสม่ำเสมอและพอเพียง ใส่ปุ๋ยคอกเดือนละครั้ง ป้องกันโรคโคนเน่าจากเชื้อรา โดยลดการให้น้ำปริมาณมาก อย่าให้น้ำท่วมขัง หรือไม่ควรปลูกซ้ำในที่เดิมหลาย ๆ ครั้ง
การเก็บเกี่ยว
“ว่านหางจระเข้” เก็บเกี่ยวใบสดหลังปลูก 6-8 เดือน เก็บใบล่างขึ้นไป โดยสังเกตเนื้อวุ้นที่โคนใบด้านในเต็ม และลายที่ใบลบหมดแล้ว ระวังอย่าให้ใบช้ำ เก็บเกี่ยวได้ปีละ 8 ครั้ง
การใช้ประโยชน์ในครัวเรือน
-รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก ให้เลือกใช้ใบล่างสุด ล้างน้ำ ให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจจะระคายเคืองผิวหนัง และทำให้มีอาการแพ้ได้ ขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผล หรือฝานเป็นแผ่นบางปิดแผล พันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น จนกว่าแผลจะหาย
-บำรุงเส้นผม ใช้วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม เพราะวุ้นของ “ว่านหางจระเข้ “ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี นอกจากนั้นยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะ
– รับประทานเป็นอาหารสุขภาพ โดยนำใบมาลอกเปลือกออกให้เหลือวุ้น นำมาล้างยางออก ต้ม รับประทานผสมน้ำเชื่อม เป็นของหวานเย็น
-“ว่านหางจระเข้ “แม้จะเป็นพืชที่ใช้รับประทานได้ ไม่มีอันตราย แต่ก็ยังมี ข้อควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคลำไส้อักเสบ โรคกระเพาะ โรคริดสีดวงทวาร หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทาน