“เพชรปากช่อง”เป็นน้อยหน่าลูกผสมพันธุ์ใหม่ที่ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์โดยสถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยงบสนับสนุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรให้ความสนใจและปลูกกันเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากให้ผลผลิตสูงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ผลผลิตส่วนใหญ่บริโภคภายในและส่งออกประเทศใกล้เคียง เช่นจีนมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามและฮ่องกงเป็นต้นเพชรปากช่อง”เป็นน้อยหน่าลูกผสมพันธุ์ใหม่ที่ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์โดยสถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยงบสนับสนุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรให้ความสนใจและปลูกกันเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากให้ผลผลิตสูงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ผลผลิตส่วนใหญ่บริโภคภายในและส่งออกประเทศใกล้เคียง เช่นจีนมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนามและฮ่องกงเป็นต้น
ประวัติพันธุ์: “เพชรปากช่อง” เป็นลูกผสมระหว่าง “ลูกผสมของเชริมัวย่า(cherimoya)กับน้อยหน่าหนังครั่ง”เป็นแม่ผสมกับพ่อ“น้อยหน่าหนังเขียว” มีลักษณะทั่วไปคือ ขนาดต้นใหญ่และสูงกว่าน้อยหน่าทั่วไป ใบขนาดกลางรูปหอกสีเขียวเข้มเส้นใบเด่นเห็นชัด ทรงพุ่มโปร่งปานกลาง ดอกขนาดใหญ่ ผลใหญ่รูปหัวใจ ผิวผลค่อนข้างเรียบมีร่องตาตื้นคล้ายน้อยหน่าหนัง ผลอ่อนสีเขียวเข้มเมื่อแก่จัดสีเขียวอ่อน-ขาวนวล ผลไม่แตกเมื่อแก่ เปลือกบางลอกออกจากเนื้อได้เมื่อสุกจัด เนื้อเหนียวคล้ายน้อยหน่าหนัง น้ำหนักผลเฉลี่ย 436.8 กรัม/ผล ปริมาณเนื้อ 72.4 % เมล็ดสีน้ำตาลอ่อนเฉลี่ย 19 เมล็ด/ผล รสชาติหวานหอมความหวาน 20 บริกซ์ การสุกช้าเฉลี่ย 4.9 วัน อายุหลังการสุกยาวนาน หลังปลูกอายุ 2 ปีเริ่มให้ผลผลิตเฉลี่ย 2.2 กก./ต้น/ปี อายุ 3 ปีเฉลี่ย 4.4 กก./ต้น/ปี และอายุ 4 ปีเฉลี่ย 37.9 กก./ต้น/ปี เมื่อผลิตทั้งในและนอกฤดูกาล
จุดเด่น: ผลขนาดใหญ่ เนื้อมาก เมล็ดน้อย ให้ผลผลิตเร็ว และติดผลดกกระจายทั่วต้น
จุดด้อย: มีเมล็ดน้อยจึงมักผลบิดเบี้ยว แต่ติดผลดกสามารถเลือกไว้ผลที่สมบูรณ์ได้อย่างเพียงพอ
ข้อได้เปรียบหรือความน่าสนใจสำหรับเกษตรกร: ปลูกง่าย ทนแล้ง บังคับให้ออกดอกติดผลได้ตลอดปีโดยวิธีการตัดแต่งกิ่งร่วมกับการให้น้ำ เกษตรกรสามารถกำหนดช่วงการผลิตในรอบปีให้มีผลผลิตออกในช่วงที่ต้องการได้ค่อนข้างแน่นอน หลีกเลี่ยงฤดูกาลผลิตของผลไม้ชนิดอื่นๆได้
ปัจจัยที่ต้องคำนึงก่อนการตัดสินใจปลูก:ควรศึกษาแนวทางการผลิตน้อยหน่าตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม(GAP)ที่มีผู้รายงานไว้และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับได้
แนวทางการผลิตตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม(GAP)
ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจในการผลิตทางการเกษตรดีที่เหมาะสม GAPเป็นอย่างมาก การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ GAP จะทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิตและยังช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตได้อีกด้วย พืชหลายชนิดที่มีข้อกำหนดของ GAP แล้ว เช่น มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ส้มโอ ส้มเขียวหวาน มะละกอ และกล้วยไม้เป็นต้น แต่ในน้อยหน่ายังไม่มีรายงานการเสนอแนวทางการผลิตตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม(GAP) ดังนั้นการนำเสนอในครั้งนี้จึงเป็นเพียงแนวทางการปฏิบัติ โดยการนำเอาแนวทางการปฏิบัติในการผลิตพืชคุณภาพตามระบบ GAP ของพืชอื่นๆ และจากรายงานที่มีผู้เสนอไว้มาปรับใช้ สร้างเป็นแนวทางการผลิตน้อยหน่าและน้อยหน่าลูกผสมตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม เพื่อให้เกษตรกรนำไปปฏิบัติได้จริง อันที่จะส่งผลให้ได้ผลผลิตที่ได้มีทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่การทำ GAP ในพืชชนิดเดียวกันที่ปลูกต่างสถานที่ก็อาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและวิธีการดูแลรักษาที่ต่างกัน การนำวิธีการในแหล่งหนึ่งไปใช้ในแหล่งปลูกอื่นจึงควรมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการดูแลรักษาของแหล่งปลูกนั้นๆ แนวทางการผลิตน้อยหน่าและน้อยหน่าลูกผสมตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสมนี้ จึงเป็นแนวทางการผลิตเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ตรงตามมาตรฐาน ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุน ขบวนการผลิตปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ไม่เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความยั่งยืนทางการเกษตร ดังมีรายละเอียดสามารถสรุปได้ดังนี้คือ
1. แหล่งปลูกและสภาพพื้นที่ปลูก น้อยหน่าชอบอากาศร้อนแห้งไม่หนาวจัด ปริมาณน้ำฝน 800 – 1,300 มิลลิเมตร/ปี อุณหภูมิ 10-40 องศาเซลเซียส มีแสงแดดจัดส่องได้ทั่วถึง พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลไปจนถึงที่ระดับความสูง 1,000 เมตร ดินและสภาพดินปลูกมีความอุดมสมบูรณ์สูง หน้าดินลึกตั้งแต่ 40เซนติเมตรขึ้นไปชอบดินร่วนทราย หรือดินร่วนเหนียว มีการระบายน้ำดีไม่มีน้ำท่วมขัง ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินระหว่าง 5.5 – 7.4 มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับใช้ตลอดฤดูกาลหรือในช่วงฝนทิ้งช่วงสะอาดปราศจากสารพิษปนเปื้อน
2. พันธุ์ควรเลือกปลูกพันธุ์ที่มีลักษณะตรงตามพันธุ์และตลาดต้องการเช่น น้อยหน่าควรปลูกน้อยหน่าหนังเขียวและฝ้ายเขียวที่ผ่านการคัดพันธุ์แล้ว และน้อยหน่าลูกผสมปลูกพันธุ์การค้าเช่นพันธุ์เพชรปากช่อง เพราะเจริญเติบโตได้ดีเหมาะกับสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ของประเทศไทยต้นพันธุ์ที่ใช้ปลูกได้จากการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการไม่ใช้เพศเช่น การต่อกิ่งบนต้นตอน้อยหน่าเพาะเมล็ดมีความสมบูรณ์ อายุอยู่ระหว่าง 6 – 12 เดือน
3. การปลูกก่อนปลูกควรนำดินไปวิเคราะห์เพื่อปรับสภาพดิน หลังจากนั้นไถตากดินทิ้งไว้อย่างน้อย 7 วัน ระยะปลูก 4 x 4 เมตรจำนวน 100 ต้น/ไร่ วิธีการปลูก ตัดยอดออกเล็กน้อยเพื่อเร่งให้แตกพุ่มใหม่และลดการคายน้ำแล้วตั้งต้นให้ตรงปักไม้ค้ำยันกลบดินให้แน่นใช้ฟาง แกลบ เศษหญ้าแห้งคลุมหน้าดินแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพราะจะทำให้ต้นน้อยหน่าเจริญเติบโตและตั้งตัวได้เร็ว
4. การดูแลรักษา การให้ปุ๋ยควรใช้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร่วมกัน การให้น้ำ ควรรักษาความชื้นในสวนให้อยู่ระหว่าง 70 – 80 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้การผสมเกสรติดผลสูงขึ้นให้ผลเจริญเติบโตดีเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าปกติ ขนาดของผล จำนวนผล และคุณภาพของผลดีกว่าปล่อยให้ผสมตามธรรมชาติ มีการปลิดผลอ่อนให้เหลือผลที่สมบูรณ์ สำหรับน้อยหน่า 2 ผล/กิ่ง และน้อยหน่าลูกผสม 1 ผล/กิ่ง แล้วห่อผลก่อนเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อป้องกันแมลงวันทอง
5. สุขลักษณะและความสะอาด มีการกำจัดวัชพืชอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมโรคและแมลง สะดวกต่อการเข้าไปเก็บเกี่ยว และไม่ให้เศษวัชพืชติดไปกับผลผลิต สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ห่างไกลจากอาหาร แหล่งน้ำ สัตว์เลี้ยงและที่อยู่อาศัยของเกษตรกร เครื่องมือและอุปกรณ์เครื่องทุ่นแรงต่างๆ ควรทำความสะอาดและเก็บให้เรียบร้อยหลังใช้งาน หากพบว่าชำรุดควรซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ในครั้งต่อไป และกำจัดวัสดุและภาชนะบรรจุสารเคมีที่เหลือใช้อย่างถูกวิธี
6.ศัตรูและการป้องกันกำจัด แมลงและการป้องกันกำจัด แมลงที่สำคัญคือ แมลงวันผลไม้ หนอนเจาะกิ่ง ด้วงกินใบหรือแมลงค่อมทอง ด้วงทำลายดอก หนอนผีเสื้อเจาะผล เพลี้ยแป้ง ควรหมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอโดยเฉพาะแมลงวันทองระบาดในช่วงผลแก่เริ่มสุก ถ้าหากมีการระบาดควรใช้วิธีป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน หรือถ้าใช้สารเคมีควรเก็บผลผลิตหลังการใช้สารเคมีอย่างน้อย 30 วัน
โรคและการป้องกันกำจัด โรคที่สำคัญคือ โรคกิ่งแห้ง โรคมัมมี่ โรครากเน่า โรคผลเน่าดำ และโรคแอนแทรคโนส หากพบการระบาดโดยเฉพาะโรคแอนแทรคโนสฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดรา ร่วมกับการตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง ลมและแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
วัชพืชและการป้องกันกำจัด วัชพืชที่สำคัญมีทั้งชนิดฤดูเดียวและชนิดข้ามปี การป้องกันกำจัด เช่นใช้จอบดาย เครื่องตัดหญ้า สารควบคุม หรือใช้ทั้งสามวิธีร่วมกัน
7. คำแนะนำการใช้สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและเหมาะสม ควรตรวจซ่อมอุปกรณ์เครื่องพ่นสารเคมีอย่าให้มีรอยรั่ว สวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์การป้องกันอันตรายจากสารพิษ อ่านสลากคำแนะนำเพื่อทราบคุณสมบัติและการใช้สารเคมีก่อนการปฏิบัติงานทุกครั้ง ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็นขณะลมสงบ เตรียมสารเคมีให้ใช้ให้หมดในคราวเดียวกัน ปิดฝาภาชนะบรรจุสารเคมีให้สนิทเมื่อเลิกใช้แล้วเก็บไว้ในที่มิดชิด อาบน้ำ สระผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีทุกครั้งหลังฉีดพ่นสารเคมีเรียบร้อยแล้ว ไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ใช้จะสลายตัวถึงระดับปลอดภัย ภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้หมดแล้วทำลายโดยการฝังดินให้ลึกมากพอที่สัตว์ไม่สามารถขุดคุ้ยขึ้นมาได้และห่างจากแหล่งน้ำ และไม่ใช้เครื่องฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช ร่วมกับสารป้องกันและกำจัดโรคและแมลง
8. การเก็บเกี่ยว ควรเลือกเก็บผลที่ได้ขนาดและอายุใกล้เคียงกัน ประมาณ 110-120 วัน โดยใช้กรรไกรตัดขั้วผลให้ชิดกับไหล่ผล แล้วรวบรวมผลผลิตใส่ในภาชนะบรรจุที่สะอาดป้องกันการบอบช้ำ แล้วเก็บไว้ในที่ร่มอย่าให้โดนแดดก่อนการคัดแยกหรือคัดเกรด
9. การปฏิบัติการหลังการเก็บเกี่ยว คัดขนาดคุณภาพน้อยหน่าตามความต้องการของตลาด บรรจุลงภาชนะที่แข็งแรงรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ซ้อนกันหลายๆชั้นก่อนการบรรจุผลลงไปโดยต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นอาจห่อด้วยโฟมตาข่าย การเก็บรักษาควรเก็บในอุณหภูมิระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส ปริมาณและออกซิเจนต่ำ คาร์บอนไดออกไซด์ 10 เปอร์เซ็นต์ และความชื้นสัมพัทธ์ 85 – 90 เปอร์เซ็นต์ สามารถเก็บน้อยหน่าไว้ได้นานถึง 13 วัน และควรขนส่งให้ถึงมือผู้บริโภคให้เร็วที่สุด
10. การบันทึกข้อมูล ควรบันทึกข้อมูลการปฏิบัติงาน ขั้นตอนการผลิตที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการ ตรวจสอบได้หากมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นสามารถจัดการแก้ไขหรือปรับปรุงได้ทันท่วงที
ที่มาข้อมูล-คณะผู้วิจัย นายเรืองศักดิ์ กมขุนทด สถานีวิจัยปากช่อง สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์