กบ นับว่าเป็นอาหารป่าที่คนส่วนใหญ่รับประทานกัน ด้วยเนื้อที่นุ่มและความกรุบกรอบของกระดูกที่เคี้ยวได้สบายๆ ทำให้กบนาที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับความต้องการเหล่านักบริโภค และไม่ใช่แค่ในประเทศไทยที่นิยมรับประทานกบ ในเว็บอาหารที่สหรัฐอเมริกา ก็เห็นหลากเมนูจากกบ และที่สหรัฐฯก็เริ่มหันมาทำฟาร์มกบกัน
กลับมาที่เมืองไทยบ้านเรา โอกาสในการเลี้ยงกบขายยังมีอยู่มาก เพราะไม่ใช่แค่เลี้ยงเพื่อให้คนนำไปทำอาหารเท่านั้น หากวางแผนการตลาดดีๆ สามารถเลี้ยงกบเพื่อเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ได้ โดยใช้เวลาเลี้ยง 2-3 เดือนก็ขายได้แล้วและที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเรื่องของการเลี้ยงกบเพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ที่จะทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
กบที่เป็นที่นิยมในตลาดบ้านเราคือ กบธรรมชาติหรือที่เราเรียกกันว่ากบนา ทีนี้เราลองมาดูเทคนิคคร่าวๆ ในการเลี้ยงกบนาเพื่อทำการค้ากันเลย
เริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อพันธุ์กบ ที่มีท้องผายบวมใหญ่ ตัวโต สีผิวนวลเหลือง ด้านข้างบริเวณเอวจะมีผิวนูนเป็นตุ่มแข็งสากมือ ยิ่งสากมากยิ่งดี แสดงว่ามีความพร้อมการขยายพันธุ์มาก ซึ่งกบตัวเมียจะตัวใหญ่กว่าตัวผู้ เกษตรกรก็คงจะอยากได้กบตัวเมียมากกว่าทั้งนั้น เพราะโตไว น้ำหนักตัวราวๆ 2-4 ขีดเลย ขณะที่ตัวผู้จะน้ำหนัก ไม่ถึง 3 ขีด ทำให้กบตัวเมียขายได้ราคาดีกว่า
เมื่อได้พ่อแม่พันธุ์แล้ว ก็ต้องมาดูเรื่องการเลี้ยง การเลี้ยงกบที่ใช้กันอยู่มี 3 แบบ คือ เลี้ยงในกระชัง เลี้ยงในบ่อดิน และเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยในวิธีเลี้ยงในบ่อซีเมนต์เพราะดูแลจัดการได้ง่าย ถูกสุขลักษณะ ทำให้กบเจริญเติบโตได้ดี โดยทั่วไปความกว้างของบ่อเลี้ยงจะประมาณ 3*4 เมตร หรือ 4*5 เมตร สูง 1-1.20 เมตร พื้นผิวในบ่อให้ขัดมันเพื่อทำความสะอาดง่าย และพื้นต้องเทให้มีความลาดเอียงนิดนึง สำหรับระบายน้ำได้จนเกลี้ยง หลังคาให้คลุมด้วยสแลนเพื่อบังแสงและคลุมทับด้วยพลาสติกใสเพื่อบังฝน
ท้ายที่สุดเรามาดูเรื่องอาหารที่ใช้เลี้ยงกบกัน เพราะต้นทุนหลักๆ จะอยู่ตรงนี้ โดยช่วงเริ่มต้นต้องบังคับให้กบกินอาหารปลาดุกแบบเม็ดที่มีขนาดเล็ดสุด เพื่อให้กบคุ้นชินก่อน แล้วจึงค่อยเปลี่ยนมาให้อาหารจากธรรมชาติอย่างไส้เดือนหรือไรแดงเพราะต้นทุนอาหารจะถูกลง และยังเป็นการเพิ่มโปรตีนอีกด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลกบคือ ความสะอาดของบ่อต้องหมั่นล้าง ทำความสะอาดและมีช่วงพักบ่อให้แห้งสนิท และมีการฆ่าเชื้อเป็นระยะด้วย เกษตรกรคนใดสนใจ สามารถศึกษาต่อยอดและลงมือเลี้ยงกบได้เลย