ปัจจุบันการปลูกพืชหมุนเวียนเป็นเรื่องปกติ เช่นการปลูกแตงไทย ที่ชาวนานิยมใช้รับมือกับปัญหาภัยแล้ง เพราะทุกวันนี้ การปลูกข้าวนาปรัง เริ่มทำได้ยากลำบากขึ้นทุกที ดังนั้นการปลูกพืชน้ำน้อยทดแทนจึงเป็นทางออกที่ช่วยสร้างรายได้เสริมเพื่อทดแทนนาปรัง
ในครั้งนี้จึงขอนำเอาเรื่องราวของ “แตงไทย” พืชน้ำน้อยอีกชนิดหนึ่งมานำเสนอเป็นทางเลือกสำหรับการปลูกพืชหมุนเวียนในรอบถัดไป เพราะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า เพราะมีผลตอบแทนที่ดี มีตลาดรับซื้อแน่นอน ใช้เวลาเพียง 2 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้เงินเข้ากระเป๋าทันที
แตงไทย นั้นปลูกกันมาเนิ่นนานแล้ว เพราะว่า ปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย เราจึงพบได้ทั่วประเทศ แตงไทย ขยายพันธุ์แบบเพาะเมล็ด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์ออกไป เป็นสายพันธุ์ต่างๆ ตามสภาพดิน อากาศหรือถิ่นที่ปลูก จึงทำให้ผลแตงไทย มีขนาด รูปร่าง สีสัน รสชาติ ที่ต่างกันไป โดยมีพันธุ์ “แตงน่าน” เป็นที่นิยมมากที่สุด
การเตรียมแปลงปลูก เริ่มจากไถดิน แล้วตากให้ดินแห้ง 2 สัปดาห์ จากนั้นให้ไถยกร่อง หลังร่องกว้าง 80 ซม. เว้นแปลงห่าง 4 เมตร ใส่ปุ๋ยคอกและหว่านปูนขาวให้ทั่วเพื่อฆ่าเชื้อโรค
เมื่อแปลงปลูกพร้อม ให้ใช้ผืนพลาสติกหน้ากว้าง 80 ซ.ม. ปูคลุมแปลงไปตามแนวยาว จนหมด จากนั้นก็เจาะรู ทำหลุมปลูก โดยใช้ระยะปลูก 50 ซ.ม. เมื่อเริ่มปลูก ให้เปิดน้ำเพื่อให้แปลงมีความชุ่มชื้น จากนั้นค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ หลุมละ 5 เมล็ด เพียง 2-3 วัน เมล็ดแตงไทยก็จะทยอยงอกพร้อม ๆ กัน โดยหลังจากนี้ไป หากมีแมลงรบกวนก็พ่นสารฆ่าแมลงได้บ้าง แต่ห้ามพ่นเด็ดขาดเมื่อแตงไทยเริ่มออกดอก
การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 2 เมื่อแตงไทยอายุได้ 20 วัน โดยให้ปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยด ด้วยการใช้ปุ๋ย ละลายกับน้ำทิ้งให้ตกตะกอน 1คืน จากนั้นใช้น้ำปุ๋ยส่วนบน ผสมกับน้ำแล้วให้ไปกับระบบน้ำหยด การให้ปุ๋ยครั้งที่ 3 เมื่อผลแตงมีขนาดเท่าส้มเขียวหวาน และให้ครั้งที่ 4 เมื่อผลแตงไทยมีขนาดใหญ่ หนักประมาณ 1 กิโลกรัมหรืออายุ 45 วัน ผลจะสุกได้ที่ประมาณ 60 วันขึ้นไป
การปลูกแตงไทยระบบน้ำหยด จะมีต้นทุนการปลูกครั้งเดียว พลาสติกคลุมแปลง ใช้งาน ได้ 3-4 รอบ นอกนั้นก็เป็นค่าปุ๋ยเคมี ค่าเมล็ดพันธุ์ สารป้องกันแมลง เป็นต้น ในขณะที่ผลผลิตโดยเฉลี่ยที่ผ่านมา ตกไร่ละ 100-150 กิโลกรัม ราคาพ่อค้ารับซื้อหน้าสวน 10-15 บาทต่อกิโลกรัม หากเกษตรกรนำไปขายเองโดยตรงราคาเฉลี่ยพันธุ์แตงน่าน จะอยู่ที่ 25 บาทต่อกิโลกรัม