ลักษณะต้นพันธุ์มะขามเปรี้ยวแบบไหน ที่ควรเลือกปลูก

มะขามที่เราบริโภคกันทุกวันนี้มีทั้งพันธุ์มะขามเปรี้ยวและมะขามหวานซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ที่มีตลาดต้องการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในปริมาณมาก ขณะที่ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ผลิตมะขามเปรี้ยวได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก สามารถส่งออกในรูปแบบมะขามสด มะขามแห้งและมะขามเปียก ไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย อเมริกา แคนาดา และยุโรป และในประเทศไทยเราเองนั้นยังนิยมนำมะขามเปียกที่ได้มาจากมะขามเปรี้ยวมาเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารต่างๆ หลายชนิด ทั้งแกงส้ม ผัดไทย และน้ำพริก เป็นต้น

ภาพประจำเครื่อง Gosmartfarmer 1080x570 6

สำหรับต้นแม่พันธุ์มะขามเปรี้ยวที่มีลักษณะที่ควรเลือกมาปลูกนั้น ควรมีประวัติการให้ผลผลิตจำนวนมากในแต่ละปี ลักษณะของฝักตรง มีขนาดใหญ่ ความยาวของฝักไม่ต่ำกว่า 10 เซนติเมตร เปลือกไม่บางเพื่อง่ายต่อการเก็บรักษาและขนส่ง ภายในฝักมีเนื้อมะขามมากกว่าร้อยละ 45 เนื้อผลมีสีน้ำตาลสว่าง มีค่าทาร์ทาริคไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12 โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกมากคือพันธุ์ศรีสะเกษที่กรมวิชาการเกษตรได้ทำการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกมามากกว่า 20 ปีแล้ว ลักษณะที่โดดเด่นของมะขามพันธุ์นี้ คือ ลำต้นจะมีพุ่มเป็นรูปทรงกลม ดอกจะเริ่มผลิในเดือน เม.ย.-พ.ค. ใช้เวลาราว 27 วันจึงเริ่มติดฝัก และสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากที่ติดฝักแล้วราว 240-258 วัน ฝักมีขนาดใหญ่และตรงทำให้ง่ายต่อการแกะและนำเมล็ดออกเพื่อใช้เฉพาะเนื้อมะขามในกระบวนการต่อไป ให้ผลผลิตเฉลี่ยต้นละ 9 กิโลกรัมต่อปีและมีกรดทาร์ทาริคเฉลี่ยร้อยละ 14-19

1865485132

แม้ว่ามะขามเปรี้ยวจะเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถปลูกและเติบโตได้ในดินทั่วไปรวมทั้งดินที่ไม่สมบูรณ์และแห้งแล้ง แต่หากต้องการปลูกเชิงการค้าควรปลูกในดินร่วนปนทราย เพื่อให้ต้นมะขามเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตสูง โดยการเตรียมแปลงปลูกนั้นให้ทำการไถพลิกดินตากฆ่าเชื้อโรคและกำจัดหญ้าและวัสดุออกจากเนื้อดิน ตากทิ้งไว้ราว 14 วัน แล้วทำการไถอีกรอบก่อนที่จะปรับระดับ ทำแปลง ขุดหลุมให้แต่ละหลุมห่างกัน 8 เมตรและเว้นระยะแต่ละแถว 8 เมตรเช่นกัน แล้วนำต้นตอมะขามลงปลูก ใช้เวลาราว 12-18 เดือนจนต้นตอมีขนาดพอเหมาะจึงนำยอดมะขามเปรี้ยวพันธุ์ดีมาเสียบกิ่งหรือจะเลือกวิธีทาบกิ่งก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกในฤดูฝนเพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ โดยในช่วง 7 วันแรกที่เริ่มปลูกมะขามเปรี้ยวหากฝนทิ้งช่วงให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นสามารถเว้นระยะการรดน้ำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วง 1 ปีหลังจากที่ปลูก และควรกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นเสมอ และทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตควรทำการตัดแต่งกิ่งด้วย