เจาะกลางใจโดย ขุนพิเรนทร์
นั่งเกาะติดสถานการณ์การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฟังไปหลับไป แอบด่าในใจหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ของเกษตรกร ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติรักเกษตรกรเหลือเกิน ห่วงใยเกษตรกรกันสุดๆ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
ประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงที่สุดคือ ความห่วงใยในเรื่องของปุ๋ยแพง ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบกับพี่น้องเกษตรกร ส.ส.เป็นห่วงเป็นใย และเสนอแนะ ให้นำเกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์แก้วิกฤติ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมี หลายท่านดันไปสุดโต่งตั้งเป้าหมายให้เป็นเกษตรอินทรีย์ตามยุทธศาสตร์ชาติด้วยซ้ำ
พ่อมหาจำเริญ ออกจากสภามาฟังทางนี้ ขุนพิเรนทร์จะเล่าให้ฟัง พ่อมหาจำเริญไม่ใช่ผู้ทรงเกียรติกลุ่มแรกๆที่คุยเรื่องนี้ แต่ระดับประเทศนอกจากคุยแล้วเขาดำเนินการให้ท่านเห็นเป็นตัวอย่า
ประเทศศรีลังกาเป็นประเทศแรกที่ทำเกษตรอินทรีย์ 100% ปี 2564 ประธานาธิบดีศรีลังกา นายโกตาบายา ราชปักษา ได้ออกคำสั่งห้ามการนำเข้าสารเคมีการเกษตร ทั้งปุ๋ยเคมีและสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชทุกชนิด ด้วยเหตุผล ปัจจัยการผลิตเหล่านีี้ทั้งหมดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศต้องขาดดุลการค้าเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยที่ผ่านมา รัฐบาลศรีลังกาต้องหาเงินงบประมาณมาอุดหนุนปัจจัยการผลิตการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จนกลายเป็นภาระทางการเงินที่สำคัญ
คุ้นๆเหมือนประเทศแถบนี้ไหมขอรับ ป้องกันการขาดดุล ลดการนำเข้า ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ แต่ศรีลังกาเดินไปสุดทางคือ ห้ามนำเข้าเลย สุดท้ายเป็นงัยขอรับ
อุตสาหกรรมชา ที่เคยเป็นเบอร์ต้นๆ นำเงินเข้าสู่ประเทศ ล้มทั้งยืน บอกชัดๆเลย อีก 3 ปีก็ไม่ฟื้น เกษตรดิ่งเหว รายได้จากเกษตรกรรมหรือเกษตรอุตสาหกรรมที่เป็นตัวหลักในการนำไปพัฒนาประเทศของศรีลังกา ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น จนต้องกลืนน้ำลายตัวเองอนุญาตให้มีการนำเข้า
นั่นเป็นเรื่องของประเทศเขา แต่เรื่องของประเทศเราที่ผู้แทนสำลอกความรักต่อเกษตรกรแล้วมันจุกในอกขุนพิเรนทร์อยากจะบอกท่านผู้ทรงเกียรติเหมือนกัน รักเกษตรกรน้อยๆ น้ำลายกระเด็นไม่ต้องมาก ถ้าไม่รู้เรื่องการทำเกษตรจริงๆ เวลาออกหาเสียงก็ฟังเกษตรกรบ้าง หรือว่า รู้ทุกอย่าง แต่พูดแล้วไม่ดูดี ต้องพูดเกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์ ถึงดูดี ดูสง่าราศรีจับ
เป็นอะไรกันนักกันหนากับเกษตรเคมี เกษตรกรคนที่เลือกท่านส่วนใหญ่ก็เกษตรเคมีมิใช่หรือ เขาทำเกษตรหาเงินเข้าประเทศส่วนใหญ่ก็เคมีมิใช่หรือ หรือเกษตรอินทรีย์?
ถ้า ขุนพิเรนทร์ จำไม่ผิด มูลค่าตลาดเกษตรอินทรีย์บ้านเราแค่ 4,000 ล้าน เป็นส่งออก 3,000 ล้าน ในประเทศ อีก 1,000 ล้าน ที่สำคัญรัฐถมงบลงไปเท่าไหร่หมดแค่ไหนกับเกษตรอินทรีย์ เอาชัดๆง่ายๆ ข้าวอินทรีย์ล้านไร่ มีเกษตรกรกี่รายที่ขายเป็นข้าวอินทรีย์ เกษตรกรส่วนใหญ่ขายเทรวมกับข้าวทั่วไปใช่หรือไม่
ทุเรียน ที่ท่านภูมิใจนักหนาว่านำเงินตราเข้าประเทศเป็นแสนล้าน เป็นทุเรียน GAP หรือทุเรียนอินทรีย์
ฟังท่านผู้ทรงเกียรติอภิปรายในสภา ยิ่งฟังแล้วยิ่งมองเห็นอนาคตภาคการเกษตรบ้านเรา ไม่ใช่แค่พายเรือวนอยู่ในอ่าง แต่ครอบงำและฉุดลากเกษตรกรกลับไปสู่ยุค 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ท่านดูสัดส่วนประเทศที่ทำเกษตรอินทรีย์เทียบกับเกษตรเคมีท่านน่าจะรู้ ถ้าเกษตรอินทรีย์มันทำได้ผลผลิตเป็นครัวโลกจริง ยุโรปทำเต็มพื้นที่ไปนานแล้ว ญี่ปุ่น อเมริกา จีน ก็เช่นกัน
ถามเกษตรกรสักคำหรือเปล่า เขาต้องการอะไร บางทีก็ชักจะสงสัย เขารู้จักเกษตรอินทรีย์จริงหรือเปล่าหรือเขารู้แค่ พูดแล้วมันดูดี รักเกษตรกรกันจริ๊ง ศรีลังกาล้มมาแล้ว ยังจะหาเหาใส่หัวให้เกษตรกรอีก ท่านส.ส.รู้จักเกษตรปลอดภัยหรือเปล่าครับ ถ้าไม่รู้จักจะได้เล่าให้ฟัง