คลื่นสึนามิใหญ่ตามมา หลังจากที่ปีนี้ข้าว”หอมมะลิ” ของไทย แพ้”ผกาลำดวน” ไปแบบเฉียดฉิวเพียงหนึ่งคะแนน และแพ้เพราะความหอมที่น้อยกว่า “ผกาลำดวน” เกิดอะไรขึ้นกับ ข้าวระดับตำนานของไทยแพ้อะไรไม่แพ้ แพ้เพราะหอมน้อยกว่า ทั้งๆที่สมัยก่อนเราหุงข้าวทีได้กลิ่นไปสามบ้านแปดบ้าน
เมื่อมีประเด็นสังคมสงสัยและแคลงใจเรื่องนี้เลยต้องเสาะหาคำตอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกรมการข้าว เอาให้สุดและอย่าได้หยุดเรื่องการพัฒนา แพ้ในวันนี้ไม่ใช่วิกฤติแต่เป็นสิ่งที่ภาคการผลิตต้องร่วมมือกัน
ข้าวหอมมะลิไทยที่มีชื่อเสียงในการส่งออกมากที่สุด คือ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 รองลงมาคือ กข15 โดยเฉพาะนางเอกตลอดกาล คือ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ครองความนิยมในใจของผู้บริโภคมานาน 60 ปี นับตั้งแต่ผ่านการรับรองพันธุ์
นอกจากรูปลักษณ์ที่เป็นข้าวสุกขาว นุ่มแล้ว ยังมีเสน่ห์ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ แม้มีพันธุ์ข้าวหอมใหม่ๆ รับรองพันธุ์ แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเท่า ทว่าในระยะหลังปัญหาข้าวหอมมะลินั้น มักจะมีคำถามว่า“ทำไมข้าวหอมในปัจจุบันน้อยลง?” จนสาวลึกไปจนถึง “เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกมีคุณภาพดีเหมือนเดิมหรือไม่?”
ในเรื่องนี้ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ได้ไขข้อข้องใจ ดังนี้
ประเด็นแรก คุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในปัจจุบัน กรมการข้าวมีงานวิจัยเรื่องความหอมข้าวขาวดอกมะลิ 105 ยืนยันแล้วว่าพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมล็ดพันธุ์แท้จากกรมการข้าว ไม่พบว่ามีความแปรปรวนของลักษณะสรีระและทางพันธุกรรม รวมทั้งลักษณะทางการการเกษตรแต่อย่างใด และได้พิสูจน์ความหอมแล้วยังมีความหอมเหมือนเดิมไม่น้อยลง
ประเด็นที่สอง ปัญหาความหอมของข้าวที่ลดลง จากงานวิจัยที่ทำการศึกษา พบว่าคุณภาพเมล็ดทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และความหอมของพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข15 ที่ปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบนมีความแปรปรวน โดยเฉพาะความหอม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการในแปลงนาและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
นั่นเป็นเพราะพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นพันธุ์ที่ได้จากการคัดเลือกจากพันธุ์พื้นเมืองที่ปรับตัวได้ดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน เป็นข้าวไวต่อช่วงแสง ต้นสูง ฟางข้าวอ่อนล้มได้ง่าย
ดังนั้น จึงเหมาะที่จะปลูกในพื้นที่ดินทรายมีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้ในช่วงข้าวออกดอกซึ่งเป็นระยะที่ข้าวสะสมแป้งน้ำในนาจะซึมลงใต้ดิน ทำให้น้ำไม่ขังแปลง เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการสร้างสารหอมระเหย 2 AP (2-Acetyl-1-Pyrroline) จึงทำให้พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีความหอมมาก อีกทั้งในช่วงข้าวสะสมแป้งเป็นช่วงฤดูหนาวอากาศเย็น หากปีใดมีอากาศเย็น(อุณหภูมิ 20 – 25 องศาเซลเซียส) ในช่วงระยะเวลายาวนานจะทำให้สารหอมระเหยในข้าวจะคงอยู่ในเมล็ดข้าวได้มาก ผลผลิตข้าวปีนั้นจะหอมมากกว่าปีที่มีอากาศร้อ
แล้วเราจะมีการจัดการปลูกข้าวหอมให้มีคุณภาพและความหอมที่ดีที่สุดอย่างไร เรื่องนี้ ท่านอธิบดีกรมการข้าว มีคำตอบว่า
1.การจัดการน้ำ การระบายน้ำออกจากแปลงนาหลังระยะออกดอก 7 วัน จะทำให้การสร้างสารหอมระเหยสูงขึ้น คุณภาพการสี และคุณภาพหุงต้มรับประทานดีขึ้น
2. การจัดการธาตุอาหารในดิน ธาตุหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแตสเซียม และธาตุรองได้แก่ แคลเซียม ซัลเฟอร์ แมงกานีส และแมกนีสเซียม ที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละชุดดิน จะทำให้ข้าวสร้างสารหอมระเหยสูงขึ้น
3. การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อช่วยรักษาความหอม ต้องเก็บเกี่ยวข้าวในระยะพลับพลึง คือระยะ 25-30 วันหลังออกดอก
4. การจัดการเก็บรักษาข้าวสารเพื่อช่วยรักษาความหอมข้าวให้นานขึ้น โดยสภาพปกติเก็บควรเก็บข้าวสารไม่เกิน 5 เดือน หากเป็นไปได้เก็บในที่ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส จะเก็บได้ยาวนานกว่าสภาพปกติและคงคุณภาพที่ดีกว่า
ใขข้อข้องใจเรื่องความหอมแล้ว มาดูสถานการณ์ปัจจุบัน อธิบดีกรมการข้าวได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยข้าวและศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวที่อยู่ในพื้นที่ได้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรในการปลูกข้าวหอมมะลิให้ได้คุณภาพ ตั้งแต่การใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ จนกระทั่งถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อปัจจัยความหอมของข้าวทั้งสิ้น
ส่วนคำถามว่าสถานการณ์ผลิตข้าวหอมมะลิปัจจุบันนี้ เอื้อต่อการรักษาคุณภาพความหอมหรือไม่เนื่องจากมีข้อสังเกตว่ากระบวนการผลิตข้าวในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากในอดีตหลายด้านโดยเฉพาะการนำเครื่องเกี่ยวนวดมาใช้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้น ทำให้ข้าวที่เกี่ยวได้มีความชื้นสูงกว่าการเกี่ยวด้วยมือและตากให้แห้งก่อนนำเข้าโรงสี ในขณะที่ข้าวที่ได้จากเครื่องเกี่ยวนวดจะต้องนำไปลดความชื้นอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จึงจะทำให้คุณภาพที่ดีได้มาตรฐาน
ดังนั้น ความหอมของข้าวหอมมะลิในปัจจุบันต้องผ่านกระบวนการอบลดความชื้น จึงทำให้มีโอกาสที่จะมีแนวโน้มทำให้ความหอมน้อยลงไปจากกระบวนการผลิตข้าวแบบดั้งเดิม
ในปี 2566 กรมการข้าว ได้มอบหมายให้กองเมล็ดพันธุ์ข้าว ดำเนินการจัดทำโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าว ปี 2566 ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวคุณภาพดีเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ผลผลิตข้าวอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ เฉลี่ยเพียง 353 กิโลกรัมต่อไร่ สาเหตุหนึ่ง มาจากการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว ที่ชาวนาเก็บไว้ใช้เองหลายรอบ มีคุณภาพต่ำลง การที่จะปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดี มีปัจจัยหลายอย่างทั้งคุณภาพของดิน ปริมาณน้ำ และเทคโนโลยี
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พันธุ์ดีที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ยสูง ต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช และได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีตรงตามความต้องการของตลาด ปัญหาสำคัญที่พบและเป็นปัญหาเร่งด่วนในปัจจุบันเพราะมีผลโดยตรงต่อปริมาณและคุณภาพข้าวไทย ก็คือ ชาวนาขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีชาวนามักจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บไว้ใชเองต่อเนื่องกันหลายปีส่งผลให้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพต่ำ จากสาเหตุมีข้าวแดงและพันธุ์อื่นปนทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้
กรมการข้าว จึงเห็นสมควรส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีที่ผลิตและจำหน่ายโดยศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อยกระดับปริมาณและคุณภาพผลผลิตข้าวให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
วันนี้…ข้าวหอมมะลิไทย นางเอกตลอดกาลของเราแพ้ผกาลำดวน แต่แพ้แค่วันนี้เท่านั้น กรมการข้าวพร้อมที่จะสนับสนุนให้ชาวนาได้ผลิตข้าวคุณภาพออกสู่ตลาดเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งภายในและภายนอกประเทศ