มกอช. หนุนโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพร จ.ชัยนาท ยกระดับการผลิตตามมาตรฐานสินค้าเกษตร
นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ความต้องการใช้สมุนไพรในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ประกอบกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้พืชสมุนไพรมีกระแสเป็นที่ต้องการและเป็นทางเลือกในการรักษาและบรรเทาโรค ทั้งในรูปแบบของยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
อุตสาหกรรมสมุนไพร ได้รับการคาดการณ์ว่า จะเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศได้ ในฐานะที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมถึงเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่ออนาคต
ในการนี้ รัฐบาลได้มีการจัดทำแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ
(1) พัฒนาสมุนไพรต่อยอดทั้งด้านการรักษาและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น
(2) สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
(3) การขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบ
(4) ทำให้เกิดความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยขับเคลื่อนผ่านโครงการพัฒนาเมืองสมุนไพร (Herbal city) ซึ่งจังหวัดชัยนาท เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับการผลิตพืชสมุนไพร โดยกำหนดยุทธศาสตร์จังหวัดคือ “ชัยนาทเมืองสมุนไพร” เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิต เพิ่มมูลค่าและการตลาดสินค้าเกษตรด้านพืชสมุนไพร มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรได้มาตรฐาน
กำหนดแนวทางการดำเนินงานระดับต้นทาง กลางทางและปลายทาง เช่น การส่งเสริมการปลูกสมุนไพรการรับรองมาตรฐานแปลงปลูก GAP/Organic การพัฒนากระบวนการแปรรูปสมุนไพรมาตรฐาน GMP การสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในสถานบริการสาธารณสุข เป็นต้น โดยมีโรงพยาบาลสรรคบุรีเป็นแหล่งรับวัตถุดิบสมุนไพรจากกลุ่มผู้ปลูกเพื่อนำมาแปรรูป และผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยาจากสมุนไพร เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลจังหวัดชัยนาทและจังหวัดใกล้เคียง
ทั้งนี้ มกอช. ตระหนักถึงความสำคัญของการผลิตสมุนไพรให้ได้มาตรฐานและบูรณาการร่วมกับระหว่างหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนแผนการพัฒนาจังหวัดชัยนาทในการเป็นเมืองสมุนไพร จึงได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง มาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับพืชสมุนไพร ภายใต้โครงการส่งเสริมและยกระดับการผลิตสมุนไพรต้นแบบตามมาตรฐานสินค้าเกษตร
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรผู้ผลิตพืชสมุนไพรในพื้นที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจเกณฑ์กำหนดของมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชสมุนไพร (GAP) รวมถึงมาตรฐานพืชสมุนไพรแห้ง การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างปลอดภัย การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ตลอดจนระบบตามสอบสินค้าเกษตร (QR Trace) และตลาดออนไลน์ (DGTFarm)
“วัตถุดิบที่มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นหัวใจสําคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีคุณภาพดี มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่ตลาดต้องการ ซึ่งปัจจุบันมีการสนับสนุนให้ปลูกสมุนไพรเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัญหาด้านมาตรฐานคุณภาพวัตถุดิบ ทั้งด้านองค์ประกอบทางเคมีที่ไม่สม่ำเสมอ การปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์โลหะหนัก และสารพิษจากเคมีเกษตร ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย มกอช. จึงได้กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชสมุนไพร ซึ่งครอบคลุมข้อกำหนดการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการผลิตพืชสมุนไพร ทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตในแปลงปลูกถึงการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้วัตถุดิบ
พืชสมุนไพรที่มีคุณภาพและปลอดภัย เหมาะสมสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร และครอบคลุมการผลิตวัตถุดิบพืชสมุนไพรที่จำหน่าย ในรูปผลิตผลสด และพืชสมุนไพรที่ผ่านการลดความชื้น ทั้งพืชสมุนไพร (Herbs) ที่ใช้ในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์สมุนไพร (Herbal Product) และได้ส่งเสริมการนำมาตรฐานไปปฏิบัติใช้
ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานได้และมีความพร้อมที่จะขอการรับรอง จะทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พืชสมุนไพร และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น” เลขาธิการ มกอช.กล่าว
นางประกอบ เฮง ประธานกลุ่มสมุนไพรปลอดสารพิษบ้านใหญ่ ตำบลโพงาม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท กล่าวว่า “จากเดิมเกษตรกรในพื้นที่ทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นอาชีพหลัก ซึ่งมีรายได้น้อย และทำให้ครัวเรือนเป็นหนี้สิน จึงได้มีการส่งเสริมให้ทำอาชีพเสริมโดยการปลูกพืชสมุนไพร เพื่อให้มีรายได้พอใช้จ่ายในครัวเรือน และต่อมาได้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มสมุนไพรปลอดสารพิษบ้านใหญ่ ซึ่งเริ่มต้นมา 6 ปีแล้ว ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 80 ราย
สำหรับสมุนไพรหลักที่ปลูก ได้แก่ ไพล ขมิ้น ตะไคร้ ใบมะกรูด และกระทือ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับพืชอาหาร โดยมีตลาดหลัก คือ โรงพยาบาลสรรคบุรี ซึ่งจะส่งวัตถุดิบสมุนไพรให้ทางโรงพยาบาลเพื่อนำไปผลิตยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต่างๆ โดยสมาชิกบางรายสามารถสร้างรายได้ถึง 2-3 หมื่นบาท/เดือน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้สินลดลงและมีสุขภาพที่ดีขึ้น เนื่องจากลดการใช้สารเคมี และในอนาคตทางกลุ่มได้เตรียมที่จะขอการรับรอง GAP สำหรับพืชสมุนไพร และจะขยายผลความสำเร็จให้กับสมาชิกรายอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้นต่อไป”