กัมพูชาประกาศ ”ปลอดโควิด-19” แล้ว หลังผู้ป่วยคนสุดท้ายหายดี

แถลงการณ์จากกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา ระบุว่า กัมพูชากลายเป็นประเทศปลอดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แล้ว หลังจากผู้ป่วยคนสุดท้ายรักษาตัวจนหายดี

โดยกัมพูชาไม่มีรายงานพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ติดต่อกัน 31 วัน หลังจากมียอดผู้ป่วยสะสม136,262 ราย ผู้ป่วยรักษาหายดี 133,206 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 3,056 ราย นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ เมื่อเดือนมกราคม 2020

431CEC27 7F27 4B66 9166 673BB3123A2F

ออร์ แวนดิน รัฐมนตรีและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา ระบุว่า ความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดใหญ่ของกัมพูชาเป็นผลพวงจากความเป็นผู้นำอันถูกต้องของรัฐบาล และประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

“สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตัดสินใจถูกต้องและทันท่วงทีในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยวัคซีนนั้นเป็นเครื่องมือทรงพลังที่สุดในการปกป้องผู้คนจากโรคโควิด-19 รวมถึงลดทอนการติดเชื้อและการเสียชีวิต” แวนดินกล่าว

กระทรวงสาธารณสุขกัมพูชา รายงานว่า กัมพูชาฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อย่างน้อยหนึ่งโดสให้ประชาชนกว่า 15 ล้านคน หรือร้อยละ 94 ของประชากรทั้งหมด 16 ล้านคน 

F6A0421C 5617 4880 BCC7 C688B502504C

โดยมีประชาชนฉีดวัคซีนครบ2โดส 14.3 ล้านคน (ร้อยละ 89.4) ครบ3โดส 9.25 ล้านคน (ร้อยละ58) ครบ4โดส 2.58 ล้านคน (ร้อยละ 16) และจะเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดสที่ 5 ให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.นี้

กัมพูชากลับมาดำเนินกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ และเปิดพรมแดนต้อนรับนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อนเนื่องด้วยอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง โดยกัมพูชาใช้วัคซีนของซิโนแวคและซิโนฟาร์มจากจีนเป็นส่วนใหญ่

040231DB E0D5 488C AE62 FDB020AED604

คิน เพีย อธิบดีสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สังกัดราชบัณฑิตยสถานแห่งกัมพูชา ระบุว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ปกป้องชีวิตผู้คน ทำให้ระบบสาธารณสุขมีเสถียรภาพ และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรัฐบาลตัดสินใจถูกต้องที่เลือกจีนเป็นผู้จัดหาเชิงกลยุทธ์ด้านวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จึงทำให้กัมพูชามีวัคซีนเพียงพอสำหรับประชาชน

 ขอบคุณข้อมูล/ภาพ จาก : สำนักข่าวซินหัว (XinhuaThai)