กยท.เดินหน้ามาตรการแสดงแหล่งกำเนิดผลผลิตยาง หวังยกระดับมาตรฐาน รับเทรนด์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เร่งขับเคลื่อน “มาตรการแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิตยางพารา” รองรับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของสังคม วางระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ยาง มั่นใจจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย และจะทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสของโลกในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตที่ให้ความสำคัญในการเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยนำมาใช้เป็นเงื่อนไขหลักในการรับซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งยางพาราด้วย ดังนั้น กยท. จึงเดินหน้าจัดทำ “มาตรการแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิต” หรือ “มาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)” เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดของผลผลิตยางและผลิตภัณฑ์จากยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ายางและผลิตภัณฑ์จากยางรายใหญ่ของโลก ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้ายางและผลิตภัณฑ์จากยางจะต้องมาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่าหลังจากปี 2562 (ค.ศ. 2019) รวมถึงการจัดการสวนยางพาราที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม

288185

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กยท. ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่สอดคล้องเพื่อสนับสนุนมาตรการตรวจสอบย้อนกลับมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจัดทำข้อมูลแปลงปลูกยางของเกษตรกร การขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกร ข้อมูลการรับซื้อยางของสหกรณ์การเกษตร ข้อมูลการซื้อขายยางพาราของตลาดกลางยางพาราของ กยท. ตลอดจนข้อมูลแปรรูปยางของบริษัทเอกชนผู้รับซื้อยาง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของยางและผลิตภัณฑ์ยางได้ว่ามีแหล่งกำเนิดหรือแหล่งที่มาของผลผลิตยางที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต

ทั้งนี้ กยท. ได้ตั้งเป้าหมายว่าประเทศไทยจะสามารถแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิต สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมด ภายใน 2 ปี ซึ่งขณะนี้ กยท. มีความพร้อมในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยจะนำเอาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ หรือ GIS (Geographic Information System) ซึ่งเป็นระบบบันทึกข้อมูลและพิกัดที่ตั้งของสวนยางในรูปแบบของแผนที่ ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่ายางพารามาจากแหล่งกำเนิดใด ควบคู่กับการใช้แอปพลิเคชั่น RUBBERWAY ที่ใช้ในการตรวจสอบการจัดการสวนยางพาราอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิ สังคม และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ผู้ว่าการ กยท. กล่าวต่อว่า มาตรการแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิต จะเป็นโอกาสทองของยางพาราไทย ในการพัฒนาระบบการจัดการสวนยางที่ถูกต้องตามหลักสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เนื่องจากประเทศคู่แข่งในการส่งออกยางพาราของไทย (อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา) ยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว แต่ประเทศไทยมี กยท. ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ไทยได้เปรียบคู่แข่งในการขยายตลาด ทำให้ราคายางในอนาคตมีเสถียรภาพมากขึ้นอีกด้วย

“เชื่อว่ามาตรการดังกล่าว จะไม่ใช่บังคับแค่ ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จีน ซึ่งเป็นตลาดรับซื้อยางรายใหญ่ของไทยก็จะต้องนำมาใช้บังคับในการซื้อยางในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะจีนจะต้องส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางเป็นวัตถุดิบ โดยเฉพาะยางล้อรถยนต์ ไปยังตลาดยุโรป และสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการตรวจสอบย้อนกลับเช่นกัน ดังนั้นประเทศผู้รับซื้อยางจะต้องหันมาซื้อยางจากประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้ประเทศไทย เป็นประเทศผู้ที่ส่งออกยาง ที่สามารถแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิต และตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี” นายณกรณ์ กล่าว

สำหรับมาตรการแสดงแหล่งกำเนิดของผลผลิต กยท. จะดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาปรับปรุงสวนยางพาราของไทย ให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มอก. 14061 ครอบคลุมตั้งแต่การปลูก การดูแล ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ผลผลิต และผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการจัดการเพื่อรักษาและส่งเสริมสภาพความสมบูรณ์ของสวนป่าไม้เศรษฐกิจในระยะยาว การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยมาตรฐานนี้กำหนดให้มีการป้องกันสวนป่าจากการทำผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งจะสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น Forest Stewardship Council (FSC) หรือ Program for the Endorsement of Forest Certification (PEFC) โดยในระยะแรกตั้งเป้าไว้ภาย ในปี 2571 สวนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. อย่างน้อย 50%หรือประมาณ 10 ล้านไร่ จะต้องผ่านมาตรฐาน มอก.14061 และสวนยางพาราของไทยทั้งหมดจะเป็นสวนยางที่ได้มาตรฐาน ภายใน 20 ปี