วันที่ 20 มีนาคม 2566 เวลา 09.30 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดกระบี่ และจังหวัดพังงา ติดตามความคืบหน้าโครงการฝายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และการอนุรักษ์แหล่งน้ำในพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมชลประทาน และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ให้การต้อนรับ
โดยรองนายกรัฐมนตรีได้รับฟังการบรรยายสรุปในพื้นที่ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองไหล ตำบลพรุเตียว อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ พร้อมพบปะรับฟังปัญหาประชาชนในพื้นที่ ภาพรวมสถานการณ์น้ำของ จังหวัดกระบี่ ซึ่งปัจจุบัน ปี 2561 – 2565 ดำเนินการแล้ว 447 โครงการ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 15,000 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์กว่า 23,500 ไร่ ขณะที่ปี 2566 อยู่ระหว่างดำเนินการ 13 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ 1,430 ไร่ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 1,000 ครัวเรือน และปี 2567 เตรียมโครงการรองรับ 148 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์กว่า 48,000 ไร่ ประชาชนรับประโยชน์กว่า 7,100 ครัวเรือน สำหรับปี 2566 คาดการณ์มีภาวะฝนทิ้งช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำสะสมน้องกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
รองนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ภาพรวมในอนาคต มีความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ เราจึงต้องเตรียมการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญและจริงจังกับทรัพยากรน้ำอย่างมาก ทั้งด้านการพัฒนา ฟื้นฟูแหล่งน้ำ การแก้ปัญหา และการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มุ่งสู่ระดับความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ โดยกำชับ ขอให้ทุกส่วนราชการ ต้องให้ความสำคัญ ลดปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งในพื้นที่เสี่ยงอย่างมีพัฒนาการ และให้เร่งสำรวจแหล่งน้ำสำรองและขับเคลื่อนมาตรการรองรับฤดูแล้ง โดยให้ทำงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการลุ่มน้ำจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายตามแผนแม่บทลุ่มน้ำของภูมิภาคร่วมกัน เพื่อให้มีแหล่งน้ำสำรองรองรับการอุปโภค บริโภค ของประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่กำลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำกับพี่น้องชาวสวนปาล์ม ถึงการพัฒนาและแก้ปัญหาปาล์มน้ำมัน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ที่พยายามร่วมผลักดันแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำร่วมกันจาก 2 บาท จนราคาสูงขึ้นเป็น 7.8 บาทในปัจจุบัน มูลค่าการเติบโตจากปีละ 3 หมื่นล้าน เป็น 1.45 แสนล้านบาท ใน 4 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าส่งออกปาล์น้ำมันปี 66 จำนวน 1.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น .5 ล้านตัน พร้อมทั้งมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ (SAF) จากน้ำมันปาล์ม และมี พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมัน ที่จะขับเคลื่อนให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษปาล์มน้ำมัน เน้นส่งเสริมแปรรูปมูลค่าสูงและส่งออกผลิตภัณฑ์รวม 8 ชนิด มีมาตรการดูต้นทุนช่วยเหลือชาวสวนยาง สร้างรายได้ มีหน่วยงานดูแลปาล์มน้ำมันเป็นการเฉพาะในทุกมิติ และยกระดับมาตรฐานคุณภาพเทียบเท่ามาเลเซีย เพื่อให้ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของไทย