ที่ 17 มีนาคม 2566 นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้นายสุรเดช สมิเปรม รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“การพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรไทย” ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับ 14 หน่วยงาน ประกอบด้วย 8 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการข้าว กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และการยางแห่งประเทศไทย ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง กรมการพัฒนาชุมชน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรไทย”มีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมมือกันสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรไทยที่สามารถสะท้อนสถานภาพทางการเงินและศักยภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือน จากการรวบรวมและเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่สำคัญของประเทศ อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจ และแยกแยะปัญหาหนี้สินของครัวเรือนเกษตรแต่ละกลุ่มเพื่อนำไปใช้ออกแบบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร
โดยข้อมูลที่ได้จากความร่วมมือครั้งนี้ จะมีประโยชน์กับหน่วยงานผู้กำหนดนโยบายและสถาบันการเงิน ในการผลักดันแนวทางในการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรอย่างเป็นองค์รวม อันจะนำมาซึ่งประโยชน์กลับไปสู่ครัวเรือนเกษตรกรในวงกว้าง ได้แก่ 1) การใช้ข้อมูลในการศึกษา ออกแบบและผลักดันแนวทางการแก้หนี้เดิมที่สามารถช่วยให้ครัวเรือนชำระหนี้ได้มากขึ้น และสามารถปลดหนี้ได้ในระยะยาว 2) การใช้ข้อมูลในการออกแบบแนวทางการปล่อยหนี้ใหม่อย่างยั่งยืน ทั่วถึง ตอบโจทย์ และตามข้อมูลความเสี่ยงที่แท้จริงของครัวเรือน และ 3) การใช้ข้อมูลในการออกแบบแนวทางการสร้างภูมิคุ้มกัน ความรู้ทางการเงิน และการผสานการแก้หนี้กับโครงการเพิ่มรายได้และศักยภาพของครัวเรือนเกษตรกร นอกจากนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญของการสร้างความร่วมมือทางด้านข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายสาธารณะอีกด้วย
ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว มีขอบเขตความร่วมมือ ประกอบด้วย 1) ทุกฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูลเกษตรกรไทย ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 5 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานครัวเรือน ข้อมูลรายได้และสวัสดิการ ข้อมูลหนี้สินและทรัพย์สิน ข้อมูลความเสี่ยง และข้อมูลศักยภาพในการทำการเกษตร 2) หน่วยงานเจ้าของข้อมูลตกลงที่จะจัดทำรายละเอียดของข้อมูล 3) ธนาคารแห่งประเทศไทย ตกลงที่จะดูแลรักษาฐานข้อมูลเกษตรกรไทย รวมถึงดำเนินการเชื่อมโยง จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานเจ้าของข้อมูล ตลอดจนดูแลการจัดการสิทธิการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยนข้อมูลของฐานข้อมูลเกษตรกรไทยให้เป็นไปตามพิธีปฏิบัติในการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลเกษตรกรไทย 4) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตกลงที่จะให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงนี้ ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน เหมาะสม และสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 5) ทุกฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันให้ความร่วมมือทางวิชาการ และสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการยกระดับการสร้าง และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลที่สำคัญของประเทศ เพื่อการจัดทำและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานตามพันธกิจของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป
อนึ่ง ฐานข้อมูลครัวเรือนเกษตรกรที่จะนำมาเชื่อมโยงกันภายใต้ความร่วมมือนี้ ประกอบไปด้วย ฐานข้อมูลหนี้สินและทรัพย์สินของครัวเรือนจาก ธ.ก.ส. สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ปศุสัตว์ ประมง และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ จากกรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และการยางแห่งประเทศไทย ฐานข้อมูลที่สะท้อนศักยภาพในการทำเกษตร เช่น การจดทะเบียนมาตรฐานสินค้าและการทำเกษตรอินทรีย์จากกรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ฐานข้อมูลที่สะท้อนโครงสร้างอาชีพ รายได้ และความยากจนในหลายมิติของเกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจากสำนักงานปลัดการทรวงการคลัง ฐานข้อมูลรายได้และสวัสดิการจากกรมการพัฒนาชุมชน และฐานข้อมูลความเหมาะสมในการทำการเกษตรจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ โดย ธปท. จะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการข้อมูล และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะช่วยให้คำปรึกษาและสนับสนุนเพื่อให้การใช้ประโชน์จากข้อมูลร่วมกันเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่ดี และสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล