เพจกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความว่า ข่าวปลอมฉีด“วัคซีนแอสตร้าฯ” เสี่ยงเป็น “โรคฝีดาษลิง”
กรมควบคุมโรค ชี้แจงประเด็นกรณีมีข่าวว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกา มีความเสี่ยงเป็น“โรคฝีดาษลิง” นั้น เป็น “ข้อมูลเท็จ” การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิด “โรคฝีดาษลิง”แต่อย่างใด
โดยเชื้อไวรัส “ฝีดาษลิง” พบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ ซึ่งคนก็สามารถติดโรคได้จากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัดข่วน และการประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า และสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษา แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันได้ 85%
“ฝีดาษลิง” กลายเป็นอีกโรคติดเชื้อ ที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยต่างจับตามอง ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัส และทางเดินหายใจ สามารถติดต่อได้จากสารคัดหลั่ง ไอ จาม เพศสัมพันธ์ แม้ในอดีตจะเคยพบ แต่มักเกิดในประเทศต้นกำเนิดทางแอฟริกา และเป็นการระบาดแบบกระจุกตัว จากนั้นก็หายไป
แต่ล่าสุดกลับมีรายงานพบในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศยุโรป ซึ่งอาการจะมีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เมื่อยตัว และมีตุ่มขึ้นทั่วตัว
ปัญหาที่ขณะนี้กำลังวิตก เนื่องจากการแพร่ระบาดค่อนข้างเร็วแตกต่างจากอดีต ในขณะที่ยารักษาเฉพาะโรคไม่มี เป็นการรักษาตามอาการ
สำหรับมาตรการเฝ้าระวัง “ฝีดาษลิง” ระบาดในไทยนั้น ด้านกรมควบคุมโรคได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขกรณีโรคฝีดาษลิง” (monkey pox) หรือฝีดาษวานร เฝ้าระวังป้องกันโรคนี้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่คนไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ กรมควบคุมโรคได้เริ่มต้นให้มีการเฝ้าระวังทั้งในส่วนด่านควบคุมโรคสนามบินต่าง ๆ ไฟท์บินต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีความเสี่ยงสูง
และทุกโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังโรคนี้ รวมถึงประสานงานคลินิกเฉพาะทาง เน้นการรายงานโรค เพื่อนำไปสู่การรักษา
ขณะที่การตรวจเชื้อ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีศักยภาพในการตรวจเชื้อด้วย RT-PCR คล้ายโควิด แต่จะมีน้ำยาตรวจเฉพาะ “ฝีดาษลิง” รวมทั้งเครือข่ายมหาวิทยาลัยก็สามารถตรวจเชื้อนี้ได้
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยจะได้รับคิวอาร์โคด ในการตรวจสอบอาการของตัวเอง หากสงสัยก็จะเก็บตัวอย่างส่งตรวจ