วันที่ 28 มกราคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการจ่ายเงินโครงการประกันรายได้ข้าว สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 4 โดยราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 งวดที่ 16 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 21-27 ม.ค.66 ดังนี้
1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ สิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว
2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ เกณฑ์กลางตันละ 13,656.68 บาท ชดเชยตันละ 343.32 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 5,493.12 บาท
3) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี เกณฑ์กลางตันละ 11,177.49 บาท ไม่ต้องชดเชยเนื่องจากราคาเกณฑ์กลางสูงกว่าเป้าหมาย
4) ข้าวเปลือกเจ้า เกณฑ์กลางตันละ 10,081.45 บาท ไม่ต้องชดเชยเนื่องจากราคาเกณฑ์กลางสูงกว่าเป้าหมาย
5) ข้าวเปลือกเหนียว เกณฑ์กลางตันละ 12,553.52 บาท ไม่ต้องชดเชยเนื่องจากราคาเกณฑ์กลางสูงกว่าเป้าหมาย
สำหรับข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว มีราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงสูงกว่าราคาประกัน สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ ไม่มีราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ดังนั้นในงวดที่ 16 มีเพียงข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ที่ได้รับเงินชดเชย ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงภายใน 3 วันทำการหรือภายในวันที่ 1 ก.พ. 2566 โดยมีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรงวดนี้จำนวน 1,895 ครัวเรือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรที่จะมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2565/66 กับกรมส่งเสริมการเกษตร และต้องแจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยว เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้รับสิทธิชดเชย โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จะจัดส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จำแนกตามช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวและคำนวณปริมาณผลผลิต โดยใช้พื้นที่ทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวแต่ละชนิดคูณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เป็นปริมาณผลผลิตที่ต้องชดเชยส่งให้ ธ.ก.ส. ประมวลผลเพื่อดำเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงภายใน 3 วัน นับจากวันที่ได้รับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว
ในส่วนของการดำเนินมาตรการคู่ขนาน คือโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ธ.ก.ส. รายงานว่าเกษตรกรและสหกรณ์ เก็บข้าวเปลือกเข้ายุ้งฉางแล้วกว่า 2 ล้านตัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งจ่ายสินเชื่อและค่าฝากเก็บให้กับเกษตรกร
สำหรับการตรวจสอบสต็อกตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยของผู้ประกอบการค้าข้าวพบว่า มีการเก็บสต็อกในเดือน พ.ย.-ธ.ค.2565 แล้วกว่า 2.3 ล้านตัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาข้าวทุกชนิดอยู่ในระดับที่ดีในขณะนี้ ประกอบกับสถานการณ์การส่งออกข้าวสารมีความต้องการสินค้าเพื่อจัดส่งให้ทันตามคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยสถานการณ์การส่งออกข้าวในปี 2565 สามารถส่งออกได้ใกล้เคียง 7.7 ล้านตัน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน และในส่วนของความต้องการใช้ภายในประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้น
ด้านกรมการค้าภายใน ได้เพิ่มการติดตามดูแลการซื้อขายข้าวเปลือก ทั้งในเรื่องของการปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้น ซึ่งหากพบเห็นว่าท่าข้าวหรือโรงสีใด ไม่ปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ กดราคารับซื้อ โกงน้ำหนักหรือมีพฤติกรรมใด ๆ ที่เป็นการเอาเปรียบชาวนา สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร 1569