19 พฤษภาคม 2565 งานแถลงข่าวร่วม 3 องค์กร (ครั้งที่ 31) เรื่อง สถานการณ์”ธุรกิจเกษตรและอาหาร“ในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต ณ ห้องอมรินทร์ อาคารศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ชั้น 3 สถาบันอาหาร
การแถลงข่าวร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหารในวันนี้ ได้แก่ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสถาบันอาหาร เผยข้อมูลอุตสาหกรรมอาหารไทยไตรมาสแรกและแนวโน้มครึ่งหลังปี 2565 มีตัวแทนหลักของทั้ง 3 องค์กร ประกอบด้วย นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ,นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมให้รายละเอียด
นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ในการประสานความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยมีสภาหอการค้าฯ และสภาอุตสาหกรรมฯ ร่วมบูรณาการข้อมูล พบว่าในไตรมาสแรกปี 2565 การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากประเทศคู่ค้านำเข้าสินค้าอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกลับมาคึกคักในช่วงที่หลายชาติเตรียมการรับการเปิดประเทศ (Reopening) ประกอบกับ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมอาหารที่ผลิตเพื่อการส่งออก
โดยไตรมาสแรกส่งออก “อาหารไทย” มีมูลค่า 286,022 ล้านบาท ขยายตัว 28.8% สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ไก่ บวก 20.3% ข้าว บวก 30.8% น้ำตาลทราย บวก198.4% กุ้ง บวก20.2% เครื่องปรุงรส บวก 24.5% ผลิตภัณฑ์มะพร้าว บวก 36.8% ผลิตภัณฑ์สับปะรด บวก 21.8% และน้ำผลไม้ บวก 35.8%
ส่วนการส่งออกแป้งมันสำปะหลัง และปลาทูน่ากระป๋องมีปริมาณลดลงเล็กน้อยแต่มูลค่าขยายตัวสูง มีเพียงการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง และอาหารพร้อมรับประทานเท่านั้น ที่การส่งออกลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากทางการจีนเข้มงวดในมาตรการนำเข้าสินค้าเพื่อควบคุมโควิด-19 ทำให้ผลไม้ส่งออกของไทยโดยเฉพาะทุเรียนหดตัวลง
ตลาดส่งออกอาหารของไทยที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในกลุ่มประเทศ ตลาดในกลุ่มภูมิภาคตะวันออกลางและเอเชียใต้ ที่มูลค่าส่งออกขยายตัวสูงถึง 101.9% และ 255% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาเซียนเดิม 5 ประเทศ และซีแอลเอ็มวีขยายตัวในระดับสูง เนื่องจากความกังวลเรื่องโควิด-19 ลดลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะการฟื้นตัว ส่วนกลุ่มประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ขยายตัวได้ในระดับสูงเช่นกันหลังจากชะลอตัวในปีก่อน
มีเพียงการส่งออกไปจีนประเทศเดียวที่การส่งออกขยายตัวต่ำเพียง 6.0% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนยังคงเกิดขึ้น ทำให้ทางการจีนต้องใช้นโยบาย Zero-Covid หยุดการแพร่ระบาด กระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลง
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวต่อว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้า “อาหารไทย” ช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่า 913,978 ล้านบาท ขยายตัว 4.4% และคงคาดการณ์ส่งออกทั้งปีไว้ที่ 1,200,000 ล้านบาท ขยายตัว 9.3% ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก
1.ความต้องการสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคท่องเที่ยวและบริการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว หลายประเทศมีแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 2. ยอดติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนเข้าสู่วิถีดำเนินชีวิตปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว 3.ราคาอาหารโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อสินค้าเกษตรและอาหารของไทยโดยรวม และ4. เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี และมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลดีความสามารถการแข่งขันด้านราคา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารในกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ จะเป็นกลุ่มหลักที่จะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามนางอนงค์ มองว่า คาดว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้การส่งออกไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ได้แก่ 1. จีนมีความต้องการสินค้าชะลอตัวลงจากมาตรการควบคุมโควิด-19 นโยบาย “Zero-Covid” ของจีนทำให้หลายเมืองยังพร้อมใช้มาตรการการล็อกดาวน์ได้ทุกเมื่อหากมีการระบาดของโควิด
2. ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบต่อราคาวัตถุดิบอาหาร พลังงาน รวมทั้งปัจจัยการผลิตสำคัญทั่วโลก เงินบาทที่อ่อนค่าลงกระทบราคาสินค้านำเข้าให้เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการระงับการส่งออกสินค้าเกษตรอาหารที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น กรณีของอินโดนีเซียที่ห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม อินเดียห้ามส่งออกข้าวสาลี เป็นต้น
3. เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ทศวรรษที่ 8.5% ในเดือนมีนาคม 2565 โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น จากข้อจํากัดด้านอุปทานขณะที่อุปสงค์ผู้บริโภคยังแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ไม่รวมราคาอาหารสด เพิ่มขึ้นเป็น 2% ในเดือนเมษายน ขณะที่ดัชนีราคาขายส่งของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 10% สูงสุดในรอบ 40 ปี เป็นต้น
และ 4) ความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว และหดตัวในบางประเทศ โดยสหประชาชาติลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2565 ลงจาก 4% เป็น 3.1% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาสแรกปี 2565 หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ลบ1.4%