นายกฯเป็นประธาน KICK OFF มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 65/66 ที่จ.เพชรบูรณ์ ย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นสร้างประโยชน์และความมั่นคงมั่งคั่งให้คนไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2565) เวลา 12.50 น. ณ สนามหน้าศาลากลาง จังหวัดเพชรบูรณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี KICK OFF มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสันติพร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ พี่น้องประชาชนและเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรีรับชมวีดิทัศน์การดําเนินงานภายใต้มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องนี้ นอกจากช่วยให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนจากการผลิตที่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงภัยธรรมชาติต่าง ๆ จึงถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับเกษตรกร และกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล จากนั้น นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะ และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน ตามลำดับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะเกษตรกรและประชาชนว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นขอบคุณผู้นำชุมชน เกษตรกรและประชาชนทุกคนด้วยใจจริง ถึงแม้จะได้มาตรวจราชการและติดตามงานต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มาไม่เคยผิดหวัง ทุกคนมีความรักความสามัคคีกันดีมาก พร้อมกล่าวว่า
“รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรกรมาโดยตลอด และมีความมุ่งมั่นในการดูแลให้มีความมั่นคงทางรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงมีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวและรายได้ของชาวนา โดยผลักดันการจัดทำแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เพื่อบริหารจัดการข้าวให้ “ไทยเป็นผู้นำการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก” เพื่อการก้าวไปสู่เกษตรมูลค่าสูงภายใต้ BCG โมเดล สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนแผนอื่น ๆ และนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการทำเกษตร ดังนั้นเกษตรกรต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถทำการเกษตรได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน”
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพียงพอและอยู่ดีมีสุข โดยได้กำหนดเป้าหมายให้ชุมชนชาวนาเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและสร้างเครือข่ายขยายผลรวมกลุ่มเป็นชุมชนข้าว เพื่อพัฒนาการผลิตข้าวและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์ข้าวชุมชน (ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน) ชุมชนแปลงขยายพันธุ์ข้าว ชุมชนข้าวแปลงใหญ่และชุมชนข้าวอินทรีย์ ตลอดจนการพัฒนาชาวนาในชุมชนข้าวให้เป็นชาวนาปราดเปรื่อง ปราชญ์ชาวนา และชาวนารุ่นใหม่ไปพร้อม ๆ กัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD – 19) ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวทั้งเชิงบวกและเชิงลบนั้น อาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพ รวมทั้งพยายามสร้างโอกาสเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูอาชีพให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนมีการปรับตัว ปรับแนวคิดให้สอดคล้องกับแนวทาง BCG โมเดล ลดการใช้สารเคมี เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร รวมถึงการนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาปรับใช้อย่างเหมาะสมด้วย เมื่อสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้ลดลงได้จะช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อยเป็นต้น
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงนโยบายของ ธ.ก.ส. ที่ได้ริเริ่มการสร้างชุมชนต้นแบบ การออกแบบโครงสร้างเชิงพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้เป็นกระดูกสันหลังที่ตั้งตรงแข็งแรง มีรอยยิ้ม พร้อมเน้นย้ำว่ารัฐบาลจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการจัดทำโครงการต่าง ๆเพื่อดูแลประชาชน โดยขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจในการอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสุข เป็นดินแดนแห่งสันติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารและสังคมพหุวัฒนธรรม มีความรักความสามัคคีกันโดยไม่แตกแยก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ ธ.ก.ส. ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลในการดูแลเกษตรกรผ่านโครงการและมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เป็นอย่างดี และขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและเติบโต พร้อมเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐ และองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทําพิธีกดปุ่มโอนเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวฯ ในกลุ่มภาคเหนือ รวม 804,017 ราย วงเงินกว่า 10,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการโอนเงินไปยัง ธกส. สาขาทั่วประเทศเพื่อเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในการมอบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวฯ โดยผู้แทนเกษตรกรนำสมุดบัญชีเงินฝากมาบันทึกรายการ เพื่อปรับยอดเงินที่ได้รับจากการโอนเงินในโครงการฯ ตามกรอบงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน2565 ซึ่งเป็นการโอนเงินงวดแรกตามมาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ไปยังชาวนาทั่วประเทศ จำนวน 14,531 ล้านบาท จากเป้าหมายรวม 81,265 ล้านบาท ผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66 ในอัตราไร่ละ1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ และโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66
พร้อมมาตรการคู่ขนาน โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ที่เกษตรกรไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแล้วยังได้รับเงินช่วยเหลือค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2565/66 วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% มุ่งเป้าหมายเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 4.68 ล้านครัวเรือน