นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์นิคม 4 ภาค 17 สหกรณ์ 13 นิคม 14 ป่า เพื่อแก้ไขปัญหาเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินของราษฎรในพื้นที่
โดยมี นายปารเมศ โพธารากุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายสุพจน์ ริจ่าม ประธานเครือข่ายสหกรณ์นิคม 4 ภาค 17 สหกรณ์ 13 นิคม 14 ป่า นายปัณฐวิชญ์ มุ่งสมัครศรีกุล ผู้อำนวยการสันนิบาตสหกรณ์ และตัวแทนเครือข่ายสหกรณ์ 13 นิคม 14 เข้าร่วมประชุม ณ ห้อง 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) เป็นการจัดที่ดินทำกินโดยอนุญาตให้ประชาชน ผู้ยากไร้ ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ได้อยู่อาศัยและเข้าทำประโยชน์ในรูปแบบสหกรณ์ หรือกลุ่มเกษตรกร สร้างประโยชน์หรือรายได้ให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน ชุมชนอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
โดยมุ่งเน้นการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชนเป็นหลักในลักษณะแปลงรวม โดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่ม หรือชุมชน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ คทช. กำหนดในรูปแบบสหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ซึ่งการหารือกันในวันนี้ ได้รับทราบความเดือดร้อนของพี่น้องเครือข่ายสหกรณ์ 13 นิคม 14 ป่า ที่ต้องการร้องขอสิทธิ์ในการจัดที่ดินทำกินให้กับชุมชนในพื้นที่
โดยสหกรณ์ 13 นิคม 14 ป่า ไม่ประสงค์เข้าสู่โครงการ คทช. เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบันไม่ได้มีสภาพป่า แต่เป็นชุมชนมีสิ่งปลูกสร้าง ถนน โรงเรียน วัด และหน่วยงานภาครัฐ ได้มีการพัฒนาที่ดิน พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิตแล้ว จึงเสนอขอให้นำพื้นที่ของ 13 นิคม 14 ป่าออกจากโครงการ คทช. แล้วนำได้การจัดที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 อย่างไรก็ตาม ตนและอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ จะได้เดินทางไปสำรวจสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ นำร่องในเขตนิคมสหกรณ์บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อพิจารณาดูว่ามีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าโครงการ คทช. หรือไม่ ในเร็ว ๆ นี้
รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดประสงค์ของ โครงการ คทช. คือการส่งเสริมให้พัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนและส่งเสริมอาชีพ ให้เกษตรกรมีแหล่งรับซื้อ ที่เก็บ จำหน่ายผลผลิต เกิดการสร้างอาชีพรายได้ที่ยั่งยืน และสามารถเข้าถึงสิทธิ์ในการรับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐได้ ซึ่งในส่วนของสหกรณ์นิคม 13 นิคม 14 ป่า นั้น มีความมั่นคง ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยในพื้นที่อยู่ มาเป็นเวลากว่า 50 ปี ซึ่งทางเครือข่ายมองว่าหากนำพื้นที่ดังกล่าวเข้าสู่โครงการ คทช. จะเป็นการสูญเสียงบประมาณของรัฐโดยเปล่าประโยชน์และซ้ำซ้อนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังเห็นควรให้มีการทบทวนการกำหนดพื้นที่ คทช. โดยให้สำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากบางพื้นที่มีการพัฒนาอาชีพที่มั่นคงในชุมชนแล้ว ทั้งนี้ จะนำข้อเรียกร้องของเครือข่ายสหกรณ์ 13 นิคม 14 ป่า โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช) พิจารณาต่อไป
ด้านนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่ผ่านมา ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาความเดือดร้อนของสมาชิกเครือข่าย ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนร่วมกับกรมป่าไม้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ทั้งนี้จะกำชับให้สหกรณ์จังหวัด และผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์ในพื้นที่ 13 นิคม 14 ป่า และป่าแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ประสานงาน ส่งข้อมูลให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และเข้าร่วมประชุมชี้แจงปัญหาความเดือดร้อนของสมาชิกให้กับคณะกรรมอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด)ได้ รับทราบด้วย