นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า(อคส.)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา อคส.เปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและนาปรังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเก็บในคลังกลางที่ อคส.ดูแลอยู่ในส่วนที่เหลือลอตสุดท้ายอีก218,000 ตัน ซึ่งเป็นข้าวที่ติดปัญหาต่างๆ หรือสูญหายไปจากบัญชี แต่เพิ่งเคลียร์ได้ และเปิดซองเสนอราคาวันเดียวกัน
โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ข้าวสารเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 55 นาปีปี 55/56 และปี 56/57 มีทั้งข้าวเหนียว 10% ข้าวขาว5% ข้าวขาว 10% ปลายข้าวขาว เอวัน เลิศ ปริมาณ 114,395 ตัน
นอกจากนี้ ยังมีข้าวสารในสต๊อกรัฐที่ขายเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปี 55/56 ปริมาณ 1,627 ตัน และข้าวสารที่โกดัง และคลังสินค้าค้างส่งมอบเข้าโกดังกลาง เป็นข้าวหอมมะลิ ข้าวท่อนหอมมะลิ และปลายข้าวขาว เอวัน เลิศ ปี 48/49 และปี 54/55 ปริมาณ 11,506 ตัน รวมทั้งสิ้น 127,100 ตัน
“การประมูลข้าวครั้งนี้ ที่ถือเป็นข้าวสารในสต๊อกรัฐ ลอตสุดท้าย มีผู้เสนอซื้อครบทั้ง 127,100 ตัน ได้ราคาดีมาก อย่างข้าวเข้าอุตสาหกรรม ซึ่งสภาพเสื่อมไปมาก จากการเก็บมาหลายปี ยังได้ราคาสูงสุดถึงกิโลกรัม (กก.) ละ 10.20 บาท น่าจะสูงกว่าที่เคยๆขายได้ ผู้ซื้อบอกว่าตอนนี้หาวัตถุดิบมาทำเอทานอลยากมาก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ส่วนข้าวหอมมะลิได้สูงถึงตันละ 13,262 บาท และข้าวค้างส่งมอบสูงสุดตันละ 5,580 บาท อคส.ได้เงินรวม 880 ล้านบาท”
ส่วนข้าวสารที่เหลืออีก 90,900 ตัน เป็นข้าวที่ยังมีภาระอยู่ เพราะเจ้าของคลัง ที่ อคส.เช่าฝากเก็บ ยังยึดหน่วง ไม่ยอมให้ผู้ชนะประมูลในช่วงที่ผ่านมา เข้าไปขนข้าวออกจากโกดัง ทั้งๆที่ทำสัญญาซื้อขายกับอคส.ไว้แล้ว, ข้าวที่เกิดความเสียหาย และบริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ และข้าวที่ค้างรับมอบ ซึ่งจะเร่งรัดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบให้เสร็จภายในเดือน ก.ย.66 อย่างข้าวที่ถูกยึดหน่วง อคส.ได้ส่งฟ้องร้องเพื่อให้ศาลสั่งให้ปล่อยข้าวแล้ว รวมถึงได้เร่งรัดบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมให้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการขนย้ายข้าวออกจากโกดัง หากผู้ชนะประมูล พบว่า ข้าวในคลังที่ตนเองซื้อไป มีน้ำหนักไม่ตรงกับบัญชี ที่รับข้าวเอาโกดังตั้งแต่แรก หรือน้ำหนักขาดหายไปเกิน 1% โกดัง และคลังที่ฝากเก็บข้าวจะต้องรับผิดชอบความเสียหาย ไม่เช่นนั้น อคส.คงต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายด้วย
ด้าน พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ รองผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า ผู้ชนะการประมูลซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ข้าวเปลือกและข้าวสารที่โรงสีค้างส่งมอบโกดังกลาง ปี 48/49 มีผู้ชนะ 1 ราย เสนอซื้อที่ตันละ 2,501 บาท ส่วนปี 54/55 เป็นรายเดียวกันให้ราคาตันละ 5,580 บาท ส่วนการขายเป็นการทั่วไป ผู้ชนะมี 2 ราย โดยรายแรกเสนอซื้อ 1,189 ตันให้ราคาตันละ 12,526 บาท รายที่ 2 เสนอซื้อ 438 ตัน ตันละ 13,262 บาท และข้าวสารเข้าสู่อุตสาหกรรม มีผู้ผลิตเอทานอลชนะประมูลทั้งหมด 6 ราย ให้ราคาตั้งแต่ 5,030-10,232 บาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา อคส.ได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูล และเชิญมารับฟังรายละเอียดแนวทางปฏิบัติก่อนการทำสัญญา โดยกำหนดทำสัญญาภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก อคส.
สำหรับผู้ชนะประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม ก่อนทำสัญญา ต้องยินยอมให้ อคส.ตรวจสอบโรงงาน และร่วมวางแผนการผลิต รวมทั้งอนุญาตให้ติดตั้งระบบเทคโนโลยีการควบคุมการตรวจสอบ การผลิต การขนย้ายด้วย
“เพื่อป้องกันไม่ให้นำข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมมาวนขายในตลาดทั่วไปสำหรับคนบริโภค อคส.ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมทางหลวง ตำรวจทางหลวง กรรมการระดับจังหวัด กรมการค้าภายใน ฯลฯกำหนดมาตรการควบคุมการขนย้ายข้าวจากโกดังมายังบริษัท หรือโรงงานของผู้ชนะประมูล เช่น รถบรรทุกต้องติดจีพีเอส, ที่โรงงาน ปลายทางต้องติดตั้งกล้องวงจรปิด(ซีซีทีวี) รวมถึงแจ้งแผนการผลิต การขนย้ายด้วย มั่นใจว่ามาตรการนี้จะควบคุมและป้องกันไม่ให้เอาข้าวไปเวียนขายในตลาดปกติได้แน่นอน”
ขอบคุณข้อมูล : นสพ.ไทยรัฐ