กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ ธ.ก.ส. กรมป่าไม้ พาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่ให้ความรู้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน นำไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินตัวเอง มาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน แก้ปัญหาขาดแคลนเงินทุน เผยล่าสุดแบงก์ปล่อยกู้ โดยใช้ไม้ยืนต้นค้ำประกันแล้ว 1.46 แสนต้น มูลค่า 137 ล้านบาท
นางรวีพรรณ ช้างเย็นฉ่ำ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาไม้ยืนต้นหลักประกันทางธุรกิจ ณ ชุมชนบ้านบัวเทิง หมู่ที่ 4 ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี ว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกรมป่าไม้ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านบัวเทิง จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้ความรู้พร้อมเชิญชวนสมาชิกวิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่นำไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการผลักดันให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านการเงิน แหล่งเงินทุน ให้แก่เกษตรกร สมาชิกวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และไมโครเอสเอ็มอี โดยใช้ไม้ยืนต้นที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
“การลงพื้นที่ครั้งนี้ ต้องการผลักดันให้เกษตรกร และสมาชิกวิสาหกิจชุมชน เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าตามนโยบายของรัฐบาล และส่งเสริมให้สร้างมูลค่าเพิ่มจากที่ดินทำกิน พัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนไม้มีค่า เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่ครอบครัวและชุมชน ช่วยลดปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และใช้ประโยชน์จากไม้ยืนต้นที่ปลูกอย่างเต็มที่ โดยกรมฯ เชื่อว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะท้ายที่สุดผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง ก็คือ คนในชุมชนนั่นเอง นางรวีพรรณ กล่าว
ปัจจุบันมีทรัพย์สินหลายประเภทสามารถนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ได้แก่ กิจการ สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้า คงคลัง และวัตถุดิบ และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 5 พ.ย.2561 กำหนดให้ไม้ยืนต้น เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันได้ ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ เกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อโดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน
ข้อมูล ณ วันที่ 16 ส.ค.2565 มีการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 146,282 ต้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 137 ล้านบาท แบ่งเป็น ธนาคารกรุงไทย จำนวน 23,000 ต้น มูลค่า 128 ล้านบาท ธ.ก.ส. จำนวน 318 ต้น มูลค่า 3 ล้านบาท สถาบันการเงินรายย่อย (พิโกไฟแนนซ์) จำนวน 122,964 ต้น มูลค่า 6 ล้านบาท
สืบเนื่องจากกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ปี 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เปิดกว้างให้นำ “ไม้ยืนต้น” ที่มีค่าที่ปลูกบนที่ดินกรรมสิทธิ์มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนหรือต่อยอดธุรกิจได้ โดยจะต้องยื่นขอจดทะเบียนหลักประกันที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ การเปิดกว้างให้นำไม้ยืนต้นมาจดหลักประกัน เริ่มมาเมื่อปี 2561 จากเดิมไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์จะไม่ได้รับการประเมินในการให้สินเชื่อ แต่จะประเมินเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินเท่านั้น
แต่หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้ออกกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ ทำให้สถาบันการเงินและผู้รับหลักประกันอื่น สามารถเพิ่มประเภททรัพย์สินในการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ เกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อโดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน