ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและเปิดงานสัมมนาแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรครบรอบ 57 ปี ในวันที่ 21 ตุลาคม 2567 โดยมี นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ ห้องวายุภักดิ์ 5 – 7 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร มีบทบาทและภารกิจสำคัญซึ่งถือเป็นหน่วยงานหลักที่มีภารกิจหลากหลายครอบคลุมการดูแลและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยี หรือการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมาที่เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังในการสำรวจและรายงานข้อมูลความเสียหายของพื้นที่การเกษตร รวมถึงการออกเยี่ยมเยียนให้กำลังใจแก่พี่น้องเกษตรกร
สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับการเกษตร โดยนโยบายหลักที่มุ่งเน้นคือการยกระดับเกษตรดั้งเดิม ให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ตามแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” รวมถึงฟื้นฟูนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ยังพร้อมสานต่องานของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้การทำงานสามารถขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมพัฒนาแนวทางตามสถานการณ์ของประเทศ ซึ่งได้ให้ความสำคัญใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1) เกษตรมูลค่าสูง ที่เป็นภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมการเกษตร ทั้งในเรื่อง Smart Agriculture การทำเกษตรแม่นยำ การส่งเสริมด้านการเพาะปลูก รวมไปถึงการแปรรูปเพื่อต่อยอดการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เป็นต้น และ 2) การทำเกษตรแบบยั่งยืน ที่สอดคล้องกับทิศทางของโลกในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนของอาหารและความยั่งยืนของภาคเกษตร โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมให้มีการจัดการทรัพยากรทางการเกษตร โดยทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Go Green) ด้วย BCG และ Carbon Credit รวมทั้งการแก้ปัญหา PM 2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศและส่งผลกระทบในหลายด้าน ต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหา และลดการเผา ในพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้ามาในภาคเกษตรมากขึ้น ต่อยอดขยายผล เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้ามาขับเคลื่อนภาคการเกษตร อย่างไรก็ตามด้วยภารกิจที่หลากหลายของกรมส่งเสริมการเกษตร จึงจำเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอให้ความสำคัญกับ “การทำงานเชิงรุก บูรณาการ ร่วมมือ และมีส่วนร่วม” ของทุกภาคส่วน ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพของกรมส่งเสริมการเกษตรในการขับเคลื่อนงานพัฒนาการเกษตรให้ก้าวหน้าและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องขับเคลื่อน เช่น การขับเคลื่อน 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง การพัฒนากาแฟ เพื่อเข้าสู่มาตรฐาน SCA การส่งออกกล้วยหอมทอง การทดแทนการนำเข้าข้าวโพดอาหารสัตว์ การส่งเสริม Plant Base food การขับเคลื่อนแม่ฮ่องสอนโมเดล การจัดการศัตรูพืชสำคัญ เช่น หนอนเจาะทุเรียน ใบด่างมันสำปะหลัง รวมถึงพืชอุบัติใหม่ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ โดยเกษตรกรรุ่นใหม่และวิสาหกิจชุมชน การขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการภาคเกษตร สื่อและกระบวนการเรียนรู้สมัยใหม่ และการปรับโครงสร้างการผลิตสู่เกษตรมูลค่าสูง (Zoning by Agri Map) เป็นต้น นับเป็นความท้าทายที่กรมส่งเสริมการเกษตรจะต้องขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าผ่านนักส่งเสริมการเกษตรทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรต่อไป