คณะนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยข้อมูลจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมของมนุษย์ยุคไพลสโตซีนตอนปลาย(Late Pleistocene)จากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยผลการศึกษาดังกล่าวเผยแพร่ผ่านวารสารเคอร์เรนท์ ไบโอโลจี (Current Biology) ฉบับออนไลน์ เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.65)ที่ผ่านมา
คณะนักวิทยาศาสตร์จัดลำดับข้อมูลทางพันธุกรรมจากซากร่างชาว “เหมิงจื้อเหริน” อายุ 14,000 ปี ซึ่งถูกค้นพบในปี 1989 จากถ้ำแห่งหนึ่งในเมืองเหมิงจื้อของมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) โดยการขุดสำรวจถ้ำดังกล่าวยังพบฟอสซิลมนุษย์มากกว่า 30 ชิ้น รวมถึงฟอสซิลสัตว์ เช่น กวางแดง ลิงแม็กแคก และหมีดำ
หากรวมกับข้อมูลที่มีอยู่เดิม บรรดาผู้เชี่ยวชาญพบการแบ่งชั้นทางพันธุกรรมชัดเจนในประชากรยุคโบราณทางใต้ของเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความแตกต่างระหว่างภูมิภาคตอนใต้กับตอนเหนือช่วงปลายยุคไพลสโตซีน โดยชาวเหมิงจื้อเหรินถูกระบุเป็นคนที่อยู่ในทางใต้ของเอเชียตะวันออกที่มีพันธุกรรมสอดคล้องกับประชากรยุคปัจจุบัน
จางเสี่ยวหมิง ผู้เขียนผลการศึกษาและนักวิจัยประจำสถาบันสัตววิทยาคุนหมิง สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน เผยว่าผลวิจัยทางมานุษยวิทยากายภาพของกะโหลกมนุษย์ที่ขุดพบ บ่งชี้ว่าเจ้าของกะโหลกเป็นหญิงสาวสูงราว 155 เซนติเมตร และหนัก 46 กิโลกรัม ซึ่งใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์และรวบรวมอาหารเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน
นอกจากนี้จาง กล่าวว่า ชาวเหมิงจื้อเหรินมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมใกล้ชิดกับชนพื้นเมืองอเมริกันกลุ่มแรก
ทั้งนี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ามนุษย์โบราณที่อาศัยอยู่ในถ้ำแถบทางใต้ของเอเชียตะวันออกได้เริ่มอพยพขึ้นเหนือเมื่ออากาศอบอุ่น และอาจมีเส้นทางอพยพตามแนวชายฝั่ง ซึ่งบางส่วนอาจข้ามช่องแคบแบริงและไปจนถึงอเมริกา
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ จาก : สำนักข่าวซินหัว (XinhuaThai)