‘กมธ.เกษตรฯ’ ชง 7 ข้อถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาการแพร่ระบาด ‘ปลาหมอคางดำ’

นายศักดินัย นุ่มหนู ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุม กมธ.ฯ เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและการประกอบอาชีพของชาวประมง ร่วมกับผู้แทนอธิบดีกรมประมง, ผู้แทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, ผู้แทนสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย,ผู้แทนสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และผู้แทนกรรมการประมงประจังหวัดจันทบุรี

โดยระบุว่า คณะกรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อหน่วยงานที่เข้าร่วมประชุม ดังนี้ 

1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องขับเคลื่อนและผลักดันให้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติโดยเร็ว

2.คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าการกำจัดการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ต้องมีแผนการการดำเนินงานเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนในแต่ละช่วงเวลาของการกำจัดและแต่ละพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างกัน พร้อมทั้งอาจต้องมีการผ่อนผันให้ใช้เครื่องมือประมงบางประเภทที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้อย่างหมดสิ้นแท้จริง โดยรัฐบาลต้องให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณในพื้นที่ที่ขาดแคลนเครื่องมือประมงกำจัดปลาหมอคางดำ

3.คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนด้วยการรับซื้อปลาหมอคางดำ กิโลกรัมละ 15 บาท จำนวน 2 เดือน สามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วน โดยกระทรวงเกษตรฯ ต้องขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่มีศึกษภาพแปปรูปปลาหมอคางน้ำเพื่อช่วยรัฐบาลรับซื้อ

4.กระทรวงเกษตรฯ ต้องประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ และสืบหาข้อเท็จจริงเอาผิดและดำเนินคดีกับผู้ที่เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำโดยเร็ว

5.กรมประมง ต้องเร่งหาจุดรับซื้อในจังหวัดที่ยังไม่มีจุดรับซื้อ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลของจังหวัดที่เป็นพื้นที่เขตกันชน เช่น จังหวัดจันทบุรี เพื่อลดการแพร่ระบาดลงสู่ทะเล

6.กรมประมง ต้องเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง โดยเฉพาะมาตรา 65 ประกอบมาตรา 144 เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการป้องกัน ควบคุมที่มีประสิทธิภาพไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และที่สำคัญจำเป็นต้องมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งการแพร่ระบาด ตลอดจนความรับผิดชอบด้านการชดเชยความเสียหายและฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น

7.กรมประมง ต้องควบคุมการระบาดให้ได้โดยเร็ว และต้องป้องกันพื้นที่ที่ยังไม่พบมีการแพร่ระบาด ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับองค์กรในท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียน และ อสม.

IMG 2658