สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) รายงานทิศทางราคาสินค้าเกษตรในขณะนี้ว่า นับจากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดินหน้านโยบายต่างๆ โดยเฉพาะการลุยปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมายมาอย่างเข้มงวด การมุ่งยกระดับสินค้าเกษตร เร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ วางมาตรการรองรับภัยพิบัติ โรคระบาดพืชและสัตว์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการน้ำในช่วงวิกฤติภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ตลอดจนการบริหารจัดการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับกิจกรรมภาคการเกษตรนั้น ปรากฏว่า ส่งผลบวกต่อราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดมีทิศทางปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว สับปะรด น้ำนมดิบ และสุกร โดยเมื่อดูทิศทางราคาสินค้าแต่ละชนิดจะ พบว่า
-ข้าวหอมมะลิ (ความชื้น 15%) ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ราคา 13.29 บาท/กก. เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราคา 14.60 บาท/กก. ในเดือนมีนาคม 2567
-ข้าวเปลือกเจ้า (ความชื้น 15%) ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ราคา 10.74 บาท/กก. เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราคา 12.50 บาท/กก. ในเดือนมีนาคม 2567
ทั้งนี้ราคาข้าวที่ปรับขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลมีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกนาปี เพื่อชะลอผลผลิตในช่วงที่ออกสู่ตลาดมาก ไม่ให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยมีโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ประกอบกับผลผลิตที่ลดลงจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ขณะที่ต่างประเทศมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลงและต้องการสำรองข้าวไว้เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ รวมถึงประเทศอินเดียประกาศระงับการส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติ ส่งผลให้หลายประเทศเปลี่ยนมาซื้อข้าวจากไทยมากขึ้น จึงเป็นแรงผลักให้ราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้น
-ยางพารา ราคายางแผ่นดิบ ชั้น 3 ในปลายเดือนมีนาคมเฉลี่ยอยู่ที่ 83.15 บาท/กก. สูงขึ้นจากราคา ณ เดือน กันยายน 2566 ที่ราคาเฉลี่ย 45.51 บาท/กก. โดยราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนโยบายจากภาครัฐในการปราบปรามและตรวจสอบการลักลอบการนำเข้ายางพาราและสินค้าเกษตรผิดกฎหมายไม่ให้ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากมาตรการการสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศ รวมทั้งจากความต้องการของตลาด ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ เป็นต้น
-ปาล์มน้ำมัน ปัจจุบันราคาเฉลี่ยที่ 5.40 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่ราคา 5.06 บาท/กก. อันเนื่องมาจากตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่ความต้องการน้ำมันพืชในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลโดย กนป. ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน พร้อมมอบหมายคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารจัดการให้ปริมาณการผลิต การใช้ และการส่งออก รวมถึงปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่ในระดับที่สมดุล และมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศจึงทำให้ราคาผลปาล์มยังอยู่ในเกณฑ์ดี
-มะพร้าว ปัจจุบันราคาเฉลี่ยที่ 15 บาท/ผล เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่ราคา 7.90 บาท/ผล เนื่องจากผลผลิตลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น และรัฐบาลมีมาตรการบริหารการนำเข้าเพื่อให้ปริมาณผลผลิตมะพร้าวที่ออกสู่ตลาดกับสัดส่วนปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ในประเทศมีความสมดุลกัน
-สับปะรด ปัจจุบันราคาสับปะรดปัตตาเวียส่งโรงงานเฉลี่ยที่ 12.00 บาท/กก. โดยราคาเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่ราคา 8.37 บาท/กก. ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลได้มีนโยบายในการรับมือกับภัยธรรมชาติ เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดีประกอบกับผลผลิตมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานแปรรูป เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
-น้ำนมดิบ ปัจจุบันราคาเฉลี่ยที่ 20.21 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่ราคา 19.65 บาท/กก. เนื่องจาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีประกาศฯ ปรับเพิ่มราคากลางรับซื้อน้ำนมโค ณ ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
-สุกร นับตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ได้เดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำเข้าสุกรเถื่อนอย่างจริงจัง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กอ.รมน จังหวัด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตำรวจตรวจสอบห้องเย็นทั่วประเทศมากกว่า 2,000 แห่ง จนทำให้ราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจุบันราคาสุกรเฉลี่ยที่ 66.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ราคา 64.25 บาท/กก.