วันที่ 30 ม.ค. 2567 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว แถลงชี้แจงในข้อกล่าวหากรณีถูกพาดพิงว่า มี ‘นายหมู’ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นคนพาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566 โดยอ้างว่าต้องการให้เรื่องร้องเรียนยุติลง และไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อองค์กรนั้น
โดยนายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ขอชี้แจงเฉพาะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากความรำคาญใจ จึงตัดสินใจไปบ้านนายศรีสุวรรณ พร้อมกับ ‘นายหมู’ เพื่อเป็นพยานรวมเป็นสามคน ในฐานะที่นายศรีสุวรรณเป็นรุ่นน้อง เพื่อสอบถาม ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ไม่ได้ไปเคลียร์เรื่องจ่ายเงิน แต่ไปถามว่าทำไมต้องร้องเรียน ผิดอะไร ยืนยันพร้อมให้ตรวจสอบ และขอให้ไปดูการสอบสวน 4-5 โครงการ ก็ไม่ได้ผิดอะไร ซึ่งก็คุยกันเข้าใจแล้ว จึงกลับกลับมา
“ผมพูดความจริง ผมแขวนพระอยู่เต็มอก ผมพูดความจริงทุกอย่าง ไม่ได้โกหก ไม่ได้ไปเจรจาเรื่องการจ่ายเงินจ่ายทองอะไรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกัน” นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว
โดยหลังจากนั้นตนก็ปล่อยเวลาไป 2-3 สัปดาห์ จนกระทั่ง นายศรีสุวรรณไปร้องกรมฝนหลวงแล้ววกมาที่กรมการข้าว ซึ่งในคืนนั้นก่อนเกิดเหตุ ก็ได้รับการติดต่อมาว่าจะมากินกาแฟด้วย จึงสั่งลูกน้องให้ติดกล้องวงจรปิดทั้งกรม
“มันไม่รู้จักหยุดสักที ผมเจ็บใจมาก มันเป็นใคร ประเทศไทยอยู่ได้ยังไง ถ้ามีคนประเภทนี้ ผมจึงวางแผนกันเอง โดยที่ไม่ให้ทีมงานท่านรัฐมนตรีเดือดร้อน ก็พอมีเงินอยู่ กลัวอะไร สู้ไม่ได้ ก็แจ้งทนายนายสู้สิ ไม่ต้องไปเดือดร้อนใคร ผมจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งไปที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ด้วยความรำคาญ ตายเป็นตาย ไม่ได้กลัวอยู่แล้ว ชีวิตเกิดครั้งเดียว ถ้าไม่ผิดอย่ามาแกล้งกัน” นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว
ตามข้อกฎหมาย เป็นข้าราชการ ถ้าผิดก็ต้องถูกสอบสวน แต่กรมสอบสวนก็ออกมาบอกแล้วว่า ไม่มี ไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกอย่างโปร่งใส ชัดเจน ตรวจสอบได้ นี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันที่ 28 พ.ย.
ส่วนเรื่องนี้ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทราบเรื่องได้อย่างไรนั้น นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า “ได้โทรไปกราบขอโทษแล้ว ต้องขอโทษนาย ที่ไม่ได้บอกก่อน เพราะกลัวทีมงานนายเดือดร้อน เรื่องนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของข้าราชการคนหนึ่ง ทั้งกับตัวเองและครอบครัว ที่ต้องมาเผชิญกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้“
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวยืนยัน ว่าไม่มีการจ่ายเงินในวันที่ 28 พ.ย. ก็ไม่รู้ว่าทนายคนนั้นไปพูดอะไร แต่ต้องฟังจากปาก พร้อมย้ำให้สื่อเขียนตามที่พูด ห้ามบิดเบือน และย้ำว่า เจอนายศรีสุวรรณแค่ครั้งเดียวก่อนที่จะเกิดเรื่อง หลังจากนั้นไม่ทราบ เพราะได้มอบหมายให้ภรรยาไปดำเนินการ
นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวถึงเหตุผลที่ทราบว่ามีการร้องเรียนถึงตัวเองนั้น เพราะมีจดหมายร้องเรียนเข้ามา แต่จ่าหน้าซองผิด แทนที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กลับจ่าหน้าเป็นชื่อตัวเอง จึงรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ก่อนจะไปแจ้งความไว้ที่ สภ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา
ในส่วน 3-4 โครงการที่ถูกกล่าวหานั้น นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า “ให้ไปตรวจสอบได้เลย กระทรวงแต่งตั้งกรรมการตั้งกี่ชุดมาตรวจสอบถ้ามี ไม่มายืนในจุดนี้ได้หรอก“
ส่วนกระแสข่าวการต่อรองจำนวนเงินจาก 3 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาทนั้น นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า “มันแค้น ทำไมต้องทำตัวแบบนี้อีก ไม่ผิด เงินทั้งหมดตั้งใจล่อซื้อ และที่ต้องทำหลายครั้งนั้น นายณัฏฐกิตติ์ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า ครั้งเดียวจะไปจับคนได้อย่างไร ต้องมีหลักฐานชัดเจนแน่นหนา ไม่ได้ทำโดยพละการ“
สำหรับกระแสข่าวว่ากรณีนี้มีความเชื่อมโยงกับอดีตนักการเมือง ชื่อย่อ ‘ป.ปลา‘ นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เกี่ยวกัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า มีผู้ใหญ่โทรมาปรามนั้น นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า ไม่มีและไม่รับโทรศัพท์ใครทั้งนั้น
เมื่อถามว่า มีการโยกย้ายงบประมาณของกรมการข้าวไปให้หน่วยงานอื่นดูแล ถือว่าผิดปกติหรือไม่ นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า งบโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 15,000 ล้านบาทนั้น เป็นงบที่ไม่ได้ใช้ กรมการข้าวไม่ได้บริหารเอง จึงต้องโอนไปให้ ธ.ก.ส.บริหารจัดการต่อ ซึ่งมีมติ ครม.ออกมาแล้ว